iKON's warehouse

De cc_cincere

5.6K 51 75

cincere's warehouse for iKON fiction #ikonwarehouse Mais

01 : The secret in lily garden [YUNJIN] [os]
02 : Starless night [BOBYUN] [os]
03 : Apology [BOBYUN] [os]
04 : Coffee or Milk [BOBYUN] [os]
05 : Can't help falling in love [BOBYUN] [os]
06 : DENT II [BOBYUN] [os]
07 : Photograph [2SONG] [os]
08 : Take me to church [BOBYUN]
09 : War boy [BOBYUN] [os]
10 : That beauty [BOBYUN] [os]
11 : B I R D [JUNYUN BOBYUN] [os]
12 : Owner [BOBYUN] [os]

13 Summer paradise [BOBYUN] [os]

629 7 9
De cc_cincere


​ ฤดูร้อน, 2000


ในตอนที่พระอาทิตย์เลื่อนขึ้นตรงหัว เวลาเที่ยงวัน ผมนั่งจ่อพัดลมอยู่หน้าทีวีใต้เพิงขายน้ำแข็งใสของแม่ แต่สายตาไม่ได้อยู่ที่ความเคลื่อนไหวในกล่องสี่เหลี่ยมเลย แม้ว่านั่นจะเป็นการ์ตูนเรื่องโปรดก็ตาม


ผมกำลังสนใจสิ่งมีชีวิตสีชมพูก้อนหนึ่ง (ไม่ใช่เพราะชุดเสื้อปกกะลาสีกับกางเกงขาสั้นที่สวมแต่เป็นผิวของเขา) ที่นั่งอยู่บนม้านั่งใกล้หน้าร้านกับพ่อแม่ ตักกินน้ำแข็งใสราดน้ำแดงพูนถ้วยพร้อมยิ้มจนตาหยี แก้มป่องๆสองข้างพองออกมาเป็นลูกกลมๆ


ผมกำลังคิดว่า ถ้าผมจิ้มสักที มันจะแตกเหมือนลูกโป่งไหม


เขาหัวเราะเวลาพ่อตักของหวานเย็นฉ่ำเต็มช้อน ทำเสียงเหมือนเครื่องยนต์ ติ๊ต่างว่านั่นคือเครื่องบิน ส่วนปากน้อยๆที่อ้ารอก็คือถ้ำ


เจ้าก้อนสีชมพูก้อนนั้นดูมีความสุขเหลือเกิน


แล้วจู่ๆเขาก็หันมา กวักมือหยอยๆ ในขณะที่ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ


เขากำลังเรียกผมเหรอ


พอเห็นผมไม่ขยับ มือน้อยๆก็ยิ่งกวักแรงขึ้น ผมเลยยอมวางตุ๊กตาหมีพูห์ตัวอ้วนกลมลงแล้วเดินเตาะแตะเข้าไปหา


"กินด้วยกันไหม" เสียงเล็กๆถาม


ในฐานะเด็กห้าขวบ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่คนแปลกหน้าชวนผมกินขนม


ผมหันไปมองแม่ เธอส่งยิ้มมาให้พร้อมพยักหน้าอนุญาต ผมจึงปีนขึ้นเก้าอี้ไปนั่งข้างๆก้อนสีชมพู


"เราชื่อยุนฮยองนะ" เด็กน้อยบอก ยิ้มกว้างจนแก้มสองข้างยกขึ้น


"เราชื่อจีวอน" ผมตอบเขาไป


นั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของพวกเรา


ยุนฮยองตักน้ำแข็งไสพูนช้อน จากนั้นยื่นมันมา


"อ่ะ" เขาส่งเสียงเป็นสัญญาณ


ทั้งๆที่ยังงงๆ แต่ผมก็กินเข้าไป


รสหวานๆกระจายอยู่ในปาก เสียงหัวเราะของเพื่อนใหม่ดังขึ้นอย่างชอบใจ


เขาดูอารมณ์ดี ผมจึงหัวเราะตาม


หลังจากนั้นผมถึงรู้จากแม่ว่าครอบครัวของยุนฮยองจะมาเที่ยวทะเลในเดือนเจ็ดทุกปี โดยไม่รู้ตัว ผมเริ่มเฝ้ารอฤดูร้อนอย่างใจจดใจจ่อ





ฤดูร้อน, 2004


ผมกำลังจะเก้าขวบ ตอนนี้เป็นนักเรียนประถมสาม และยังคงมาเฝ้าเพิงขายน้ำแข็งไสของแม่ในหน้าร้อนเหมือนเดิม


ผมนั่งอยู่บนม้านั่งหน้าร้าน แกว่งขาไปมา เตะรองเท้าแตะใส่ทราย ก่อนจะใช้เท้าเขี่ยมาสวมใหม่ ทำสลับไปมาอยู่อย่างนั้น


ผมกำลังรอ


"จีวอน"


กระทั่งเสียงตะโกนเรียกยานคางดังลั่นหาด แล้วไม่กี่วินาทีต่อมา ยุนฮยองก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใส


เขาตัวสูงกว่าผมเกือบๆหนึ่งฝ่ามือ ไม่ใช่เจ้าก้อนสีชมพูเหมือนแต่ก่อน ผิวคล้ำแดดตามประสาคนชอบเล่นกีฬา


ยุนฮยองเป็นนักบอลของโรงเรียน ส่วนผมเป็นนักว่ายน้ำ


แน่นอน เราไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกัน หรืออันที่จริง เขาเป็นเด็กในเมือง ส่วนผมมันลูกทะเล เรามักคุยกันทาง โทรศัพท์ นั่งเฝ้าอยู่หน้ากล่องสี่เหลี่ยมที่มีปุ่มตัวเลขด้านบนวันละนานๆ สลับกันโทรคนละวันเพื่อไม่ให้ต้องเสียค่าบริการมากเกินไป และจะได้เจอกันก็ต่อเมื่อถึงเดือนเจ็ด


พ่อกับแม่ของยุนฮยองจะหยุดงานครั้งละนานๆ ประมาณเกือบสองอาทิตย์ นั่นคือเวลาของผมกับเขา


"เล่นบอลกัน" เขาพูด


"เอามาเหรอ" ผมถาม มองสำรวจซ้ายขวาแล้วพบเพียงตัวเขาที่อยู่ตรงหน้า


"นี่ไง" ว่าแล้วยุนฮยองก็ดึงลูกบอลพลาสติกที่พับติดกันเป็นก้อนเพราะยังไม่ได้เป่าลมออกมาจากกระเป๋ากางเกง


"นายเป่า" ผมว่า


"ไม่เอา นายเป่าสิ นายเป็นนักว่ายน้ำ ปอดต้องใหญ่กว่านักบอลอยู่แล้ว" เขาโวยวาย


"มันของนายนะ" ผมแย้ง


"แล้วไงอ่ะ" ยุนฮยองส่ายหัวรัวๆ "ฉันเป็นคนเอามาแล้ว นายต้องเป็นคนเป่าดิ"


อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงของเรา นอกจากส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นก็คือสรรพนาม


เราใช้ 'ฉัน' แทน 'เรา' ส่วนหนึ่งคงเพราะติดมาจากที่โรงเรียน


"ปวดแก้มจะตาย ไม่เอา" ผมยังคงไม่ยอม


ยุนฮยองมุ่นหัวคิ้ว เขายู่หน้าอย่างขัดใจก่อนจะจัดแจงเป่าลูกบอลจนกลมด้วยตัวเอง แก้มสองข้างที่อมลมอยู่ขึ้นสีแดงจางๆ


มันน่ารักดี





"ยุนฮยอง คืนนี้มากินข้าวด้วยกันสิ"


แม่ชวนยุนฮยองในช่วงเย็นของวันหนึ่ง หลังจากเราเล่นน้ำทะเลจนตัวเปียกโชก อีกไม่ถึงอาทิตย์เขาก็จะกลับแล้ว


ยุนฮยองหันมามองผม คล้ายกับจะให้ช่วยตัดสินใจ


แน่อยู่แล้วว่าผมต้องเห็นด้วยกับแม่


ผมอยากอยู่กับยุนฮยองนานๆก่อนที่จะต้องรออีกปี


"คืนนี้แม่จะปิ้งกุ้ง มีปู แล้วก็มีหอยด้วย" ผมจึงรีบโฆษณา


ยุนฮยองชอบกินกุ้งมาก ทำไมผมจะไม่รู้


เขานิ่งไปนิดหน่อย เม้มริมฝีปากระหว่างตัดสินใจ แล้วสุดท้ายก็พยักหน้า


"โอเคครับ...จีวอน ไปบอกพ่อกับแม่กัน" เขาพูด คว้ามือผมไปจับไว้ก่อนจะออกวิ่งเท้าเปล่าบนผืนทราย แว่วเสียงแม่ตะโกนไล่หลังบอกว่าจะตั้งเตาตอนหกโมงครึ่ง


จากเพิงขายน้ำแข็งไส เดินตามหาดไปอีกเกือบๆหนึ่งกิโลก็ถึงบังกะโล


บ้านไม้ใต้ถุนสูงสีขาวตั้งอยู่ชิดทะเล ยุนฮยองนอนที่นี่ทุกปี ในบ้านหลังนี้ ผมไม่เข้าใจเหตุผลว่าเพราะอะไร บางทีอาจจะเหมือนที่ผมชอบนอนในบ้านของผม


อะไรแบบนั้น


พ่อของยุนฮยองกำลังล้างรถเก๋งสีน้ำเงิน ส่วนแม่รื้อเสื้อผ้าในกระเป๋าออกมาผึ่งแดด


"พ่อครับ เย็นนี้ผมไปกินข้าวกับจีวอนนะ" ยุนฮยองพูด ท่าทางตื่นเต้นเอามากๆ


พ่อหันมามอง เขาเป็นผู้ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีที่แม้ผมจะเป็นแค่เด็กเก้าขวบก็มองออกว่าลูกชายถอดแบบมาเป๊ะๆ


เหมือนจนน่าประหลาดใจเลยทีเดียว


"เอาสิ ถ้ากลับค่ำจะนอนกับจีวอนก็ได้ กว่าจะได้เจอกันอีกตั้งนาน แม่โอเคใช่ไหม..." สิ้นประโยคเขาหันไปถามภรรยา และเธอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม "จีวอนล่ะ ถ้าดึกมากให้ยุนฮยองนอนด้วยได้รึเปล่า"


"ได้ครับ" ผมรีบตอบรับทันที ไม่อยากช้ากลัวผู้ใหญ่จะหาว่าไม่เต็มใจ


ผมน่ะยิ่งกว่ายินดีเสียอีก ตั้งแต่รู้จักกันมาเรายังไม่เคยค้างคืนด้วยกันเลย


"งั้นผมนอนกับจีวอนนะ" ยุนฮยองพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะดึงมือผม พาวิ่งตึงตังขึ้นบ้านไปเก็บเสื้อผ้า


ไม่ถึงห้านาทีเราก็กลับลงมาด้านล่างพร้อมกระเป๋าเป้หนึ่งใบบนบ่าของยุนฮยอง


อาหารเย็นมื้อนั้นเป็นมื้อที่มีความสุขที่สุดสำหรับผม อาจจะเพราะมันกอปรไปด้วยความตื่นเต้น เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจ และเช่นกัน คืนนั้น คือคืนที่คงจะฝังอยู่ในใจผมไปอีกนาน


เราสองคนไม่ได้ตัวใหญ่มาก การเบียดกันบนเตียงขนาดสามฟุตครึ่งจึงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร ไม่มีความอึดอัด แต่ผมกลับนอนไม่หลับ โดยเฉพาะตอนที่หันไปเจอเข้ากับแพขนตาหนาๆและสันจมูกโด่ง


เป็นความรู้สึกที่แปลกดี เพียงแต่ผมยังเด็กเกินกว่าจะระบุได้ว่ามันเรียกว่าอะไร





ฤดูร้อน, 2008


ปีนี้ผมจะอายุสิบสาม โตขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ความเปลี่ยนแปลงแรกที่เห็นได้ชัดคือโรงเรียนมัธยม สภาพแวดล้อมใหม่ สังคมใหม่ ชุดเครื่องแบบใหม่ และมือถือเครื่องใหม่


โทรศัพท์ราคาถูกลงจนเด็กม.ต้นอย่างผมพอจะเก็บเงินซื้อได้ แถมยังเปลี่ยนจากหน้าจอขาวดำเป็นแบบสีแล้วด้วย ทั้งที่ไม่ได้มีความสนใจอะไรมากมาย ที่ยอมลงทุนลงแรงมากมายขนาดนี้มีเพียงเหตุผลเดียว


พ่อได้ข่าวมาว่ายุนฮยองได้มือถือเป็นของขวัญวันเกิด พร้อมฝากเบอร์โทรศัพท์ผ่านมาให้ผมด้วย


ตลกดี ที่ผมพยายามมากมายเพียงเพราะเหตุผลง่ายๆแค่นี้


อีกราวสองอาทิตย์ยุนฮยองจะมาเที่ยวทะเลอย่างที่ทำประจำทุกปี ผมตื่นเต้น ทว่าขณะเดียวกัน ผมกลัว...


เพราะเราติดต่อกันตลอดมาสักเกือบครึ่งปีได้แล้ว ผมถึงรู้ทุกความเป็นไปของเขา ไม่ว่าจะเรื่องดีเช่นผลคะแนนสอบเทอมล่าสุดของเขาดีเยี่ยม หรือเรื่องร้ายอย่างการที่เขาเลิกเตะบอล เพราะประสบอุบัติเหตุระหว่างแข่งจนขาหัก


คงอีกหลายปีกว่ายุนฮยองจะกลับมาวิ่งได้อีกครั้ง แต่แน่นอน เขากลับไปเล่นกีฬาที่รักไม่ได้อีกแล้ว


...ผมกลัวว่าเขาจะไม่มีรอยยิ้มน่ารักแบบที่ผมชอบมองเหมือนเดิม


"แล้วนายจะทำยังไง" ผมถามเขาระหว่างคุยโทรศัพท์กันในคืนหนึ่ง


(เรื่องอะไรเหรอ)


"เรื่องบอลไง" ผมจึงขยายความ ทั้งที่พยายามจงใจเลี่ยงการพูดคำนั้นออกไป


ยุนฮยองชอบฟุตบอลมาก ทำไมผมจะไม่รู้


เราเคยคุยกันเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ผมยังคงไม่ได้รับคำตอบที่พอใจ...


(ก็เลิกเล่น ไม่เป็นไรหรอก) เขาตอบ น้ำเสียงฟังดูไม่ยี่หระเท่าไหร่นัก


...ครั้งนี้ก็เช่นกัน


ทำทีเหมือนว่าไม่เป็นไรทั้งที่ด้านในกำลังร้องไห้ นั่นคือความซับซ้อนทางอารมณ์และการแสดงออกที่เพิ่มขึ้นตามอายุของเขา


ในขณะที่ผมยังคงเป็นคิมจีวอนผู้ซื่อตรง รู้สึกอย่างไรก็เพียงพูดมันออกไป


"ไม่แค่หรอก นายชอบมันจะตาย" ผมแย้ง อีกแค่สองอาทิตย์เราก็จะได้เจอกัน แต่ผมกลับกลัวไปหมดทุกอย่าง


ผมไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรกับยุนฮยองที่เป็นแบบนี้


ผมรู้ว่าเราจะวิ่งเล่นกันแบบเดิมไม่ได้ เตะบอลก็ไม่ได้ หลายอย่างจะไม่เหมือนเดิม


ผมกลัวจะเผลอทำให้เขาอึดอัดโดยไม่ตั้งใจ


ฟุตบอลไม่ใช่เรื่องเล็กๆสำหรับยุนฮยอง เหมือนกับที่ว่ายน้ำไม่ใช่เรื่องเล็กๆของผมเช่นกัน


(ยังไงฉันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่ไม่แน่หรอก อีกสิบปีหลังจากนี้ ฉันอาจจะแข็งแรงพอกลับไปเตะบอลได้ก็ได้นะ) เขาพูด นั่นคือการปลอบใจตัวเอง


"ถ้าเป็นงั้นจริงฉันยอมไปเตะบอลกับนายคนแรกเลยอ่ะ" ผมว่ากลั้วหัวเราะ พยายามดึงให้บรรยากาศไม่หม่นหมองเกินไปนัก


(เออดิ มันต้องเป็นนายอยู่แล้ว)


หลังจากนั้นหัวข้อสนทนาจึงเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เราเล่าอนาคตที่วาดฝันไว้ แน่นอนว่ามันเพ้อเจ้อ อย่างเช่นผมอาจจะเป็นนักบินอวกาศ ส่วนยุนฮยองก็อาจจะกำลังเปิดร้านเสริมสวย แต่ก็สนุกดีที่ได้ลองจินตนาการ






ยุนฮยองยังดูเหมือนเดิมในวันที่เขามาถึง นอกจากผิวที่ขาวขึ้นเนื่องจากไม่ต้องซ้อมกีฬากลางแดดแล้ว นอกนั้นแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลง


เขายังคงสูงกว่าผม แก้มกลมๆสองข้างลดน้อยลงอย่างช้าๆ แต่เชื่อเถอะว่ายังคงน่ารักไม่เปลี่ยน


ใบหน้าที่เคยเหมือนซาลาเปา ตอนนี้ดูดีใช้ได้ทีเดียว


เรายิ้มให้กันเมื่อเจอหน้า ข้อนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


"จีวอน ออกไปเล่นที่ชายหาดกัน" เขาบอกผมหลังจากเก็บกระเป๋าเข้าที่พักเรียบร้อย


แน่นอน ที่บังกะโลสีขาวริมทะเลหลังเดิม


ตอนนี้เราโตขึ้น อย่างน้อยก็มากพอที่ผู้ปกครองจะปล่อยให้ทำอะไรตามใจตัวเองได้ระดับหนึ่ง นอกจากย้ำให้กลับมากินข้าวเย็นให้ตรงเวลาแล้วพ่อกับแม่จึงไม่ได้ว่าอะไรอีก


เราก้าวไปด้วยกันบนหาดทรายสีขาว ยุนฮยองไม่ได้ใช้ไม้ค้ำ อุบัติเหตุเกิดขึ้นมานานพอควรแล้ว เขาแข็งแรงพอที่จะเดินได้ด้วยตัวเอง แต่ก็นั่นแหละ วิ่งไม่ได้


จากที่เดินข้างกัน กลายเป็นว่าผมกลับเดินนำ ไกลออกไป และไกลออกไป โดยที่เขาไม่ได้พูดอะไร


ท่ามกลางแสงอาทิตย์ตอนบ่ายสามโมงยี่สิบเก้านาที ผมนำอยู่ด้านหน้า ส่วนเขาอยู่ด้านหลัง ห่างออกไปเกือบหนึ่งร้อยเมตร


ผมหยุด เมื่อรู้สึกว่าที่เป็นอยู่นี้ไม่ดีเอาเสียเลย จากนั้นจึงเดินย้อนกลับไป


ท่ามกลางแสงอาทิตย์ตอนบ่ายสามโมงสามสิบนาที ผมอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมกับมือที่ยื่นออกไป


ยุนฮยองจับมันไว้ ในขณะที่จู่ๆหัวใจของผมก็เต้นแรง เหมือนอย่างวันนั้น ครั้งแรกที่เรานอนด้วยกัน


และท่ามกลางแสงอาทิตย์ตอนบ่ายสามโมงสามสิบเอ็ดนาที เราออกเดินอีกครั้ง ข้างๆกัน ในจังหวะที่เท่ากัน






ฤดูร้อน, 2012


คอมพิวเตอร์กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันไปแล้วตอนผมอายุสิบเจ็ด ส่วนโทรศัพท์มือถือแบบปุ่มกดก็หายไปจากสารระบบ ไม่ถึงกับโดยสิ้นเชิง แต่ก็นั่นแหละ คนรอบตัวผมไม่มีใครใช้มัน


ผมกับยุนฮยองไม่ได้ติดต่อกันผ่านเสียงและการพบหน้าปีละหนอีกต่อไป (แม่ยังคงไม่ไว้ใจให้ผมไปที่ไหนไกลๆคนเดียว) เรามีสิ่งที่เรียกว่าสไกป์เป็นตัวช่วย


ทั้งได้ยินทั้งเห็นหน้า พอจะบรรเทาให้หายคิดถึงได้บ้าง แต่ก็แค่ 'บ้าง' เท่านั้น


วันพรุ่งนี้เขาจะมา ถือเป็นการเจอกันครั้งแรกหลังจากยุนฮยองเพิ่งเลิกกับแฟนที่คบตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายปีหนึ่งหมาดๆ


เขามีความรัก มีคนรัก ในขณะที่ผมกลับไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใคร


จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจ อันที่จริง ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าการรักหรือชอบใครสักคนเป็นอย่างไร


จะเหมือนที่ผมชอบว่ายน้ำไหม หรือจะเหมือนที่ผมชอบอยู่กับยุนฮยอง ผมไม่รู้เลย


(ทำไมยังไม่อาบน้ำอีก)


เสียงที่ดังลอดออกมาจากลำโพงโน้ตบุ๊กทำให้ผมละความสนใจจากสิ่งที่อยู่ในสมอง ภาพบนหน้าจอคือห้องสี่เหลี่ยมสีขาวที่เต็มไปด้วยสีแดง และเพื่อนสมัยเด็กของผมในชุดนอนลายทางตัวโตและผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่


ยุนฮยองชอบสีแดง ซึ่งผมคิดว่ามันเหมาะกับเขาดี


"ยังไม่อยากอาบอ่ะ" ผมตอบ แน่นอนว่านั่นไม่จริงสักนิด


ผมแค่รอเจอเขา มันรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งมองห้องว่างๆรอ


(อาบดึกเดี๋ยวก็ไม่สบาย) ยุนฮยองว่าไปตามประสาพร้อมขยี้เช็ดผมชื้นๆไปด้วย


"ฉันหัวแข็งน่า ไม่ป่วยง่ายหรอก" ผมพูดในขณะที่คู่สนทนาผ่านสไกป์รอบดึกเบ้ปากใส่


ยุนฮยองยังดูโอเค นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดี แม้จะเพิ่งเลิกกับแฟนได้ไม่นานแต่เขาไม่มีท่าทางจะเพ้อหาสักนิด


ผมไม่รู้สาเหตุ เพราะเขาไม่ได้บอก จึงได้แต่หวังว่าเขาจะเป็นฝ่ายยุติความสัมพันธ์นี้เสียเอง


ผมไม่อยากเห็นเขาเจ็บ


(อย่าให้เห็นว่าพรุ่งนี้นายไม่สบายนะ นายตายแน่)


"ทำไมดุจัง นี่เพื่อนนายนะ" ผมแย้ง


(ไม่รู้ล่ะ—) แล้วจู่ๆเขาก็เงียบไป พอดีกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น


เขาหันไปมอง นิ้วชี้แตะอยู่ที่ริมฝีปากเป็นสัญญาณให้ผมตั้งใจฟัง


(ยุนฮยองนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เดินทางเช้านะ)


(ครับ...) เขาตะโกนรับคำก่อนจะหันความสนใจมาที่ผมเหมือนเดิม (...ตามนั้นแหละ ฉันนอนนะ)


"เจอกันพรุ่งนี้"


(อือ เจอกันพรุ่งนี้)


สาบานได้ ตลอดชีวิต ผมไม่เคยรู้สึกอยากให้ 'วันพรุ่งนี้' มาถึงมากมายขนาดนี้มาก่อน


วันรุ่งขึ้นผมตื่นเช้า ทั้งที่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกัน แต่ความตื่นเต้นยังมีเหมือนเดิม เผลอๆมันจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ


ยุนฮยองบอกว่าจะมาถึงตอนบ่าย


ผมสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ใส่รองเท้าแตะเดินเลียบหาดจากบ้านมาที่เพิงขายน้ำแข็งไส รับหน้าที่เปิดร้านให้แม่ที่อีกสักพักคงตามมา


หวานเย็นในหน้าร้อนขายดีเสมอ


ผมชอบช่วยงานที่ร้านช่วงปิดเทอม อาจจะเพราะหลงรักรอยยิ้มของลูกค้ากับความสดใสแบบเด็กๆ หรือบางที อาจจะเพราะมันทำให้คิดถึงฤดูร้อนเมื่อสิบสองปีก่อน


ฤดูร้อนแรกที่ผมรู้จักยุนฮยอง


แปลกดี ทั้งที่ไม่ได้คาดหวังอะไร ไม่ได้อยู่ใกล้กันด้วยซ้ำ แต่ความสัมพันธ์ของเรากลับเอาแต่พัฒนาไปข้างหน้า


ผมมีเพื่อนที่โรงเรียน เราไปเที่ยวด้วยกัน ว่ายน้ำ เตะบอล ดูหนังหรือแม้กระทั่งจีบสาวไปด้วยกัน ถึงอย่างนั้น ผมกลับไม่รู้สึกสนิทใจเท่าเวลาอยู่กับยุนฮยอง


แปลกดีที่เขามีอิทธิพลเหนือผมขนาดนี้


แต่ไม่รู้ว่าสำหรับเขา ผมจะมีความหมายสักแค่ไหน


ยอมรับตรงๆ ครั้งแรกที่ยุนฮยองบอกว่าเขามีคนรักแล้วผมหงุดหงิดมาก คล้ายกับกลัวว่าตัวเองจะถูกลดทอนความสำคัญลง โชคดี ยุนฮยองไม่ได้ทำแบบนั้น ผมจึงค่อยๆยอมรับการคงอยู่ของผู้หญิงคนนั้นได้อย่างเชื่องช้า


แฟนของยุนฮยองไม่ใช่แค่น่ารักมาก แต่ยังเรียนเก่งเอามากๆ เราเคยคุยกันหลายครั้งเวลาสไกป์ เธอมักจะมาช่วยติวหนังสือให้ยุนฮยองเสมอ อาจจะสัปดาห์ละสองถึงสามครั้ง


พวกเขาเคยจูบกัน แต่ไม่บ่อยนัก ทว่าก็เท่านั้น ผมไม่รู้ว่าใครฝังความคิดแบบนี้ลงในหัวของยุนฮยอง แต่เขาถือเรื่องเซ็กซ์ยิ่งกว่าอะไร


ถ้ายังไม่แต่งงานก็จะไม่ทำ อะไรทำนองนั้น


ดูไม่ค่อยเหมาะกับวัยรุ่นที่โตในเมืองใหญ่เท่าไหร่เลย


กิจการน้ำแข็งไสวันนี้เป็นไปด้วยดีเหมือนเคย มีคนแวะเวียนเข้าออกแทบตลอดเวลา กว่าผมจะได้มีเวลาว่างออกไปข้างนอกบ้างก็บ่ายแก่ๆเข้าไปแล้ว


ซึ่งนั่นพอดีกับการปล่อยให้มื้อเที่ยงย่อย


ผมคว้าเซิร์ฟบอร์ดที่วางหลบอยู่หลังร้าน ถอดเสื้อ ก่อนจะวิ่งลงทะเล


ผมชอบน้ำ รวมถึงกีฬาทางน้ำแทบทุกชนิด ถึงรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่บ้านอยู่ติดหาด


เซิร์ฟบอร์ดถูกวางลงบนน้ำเมื่อได้ความลึกที่พอเหมาะ ผมว่ายออกไป วันนี้อากาศดี เท่าที่สังเกตจากบนฝั่งมีคลื่นสวยๆซัดเข้ามาไม่ขาด


ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางไปหมดจริงๆ


กระดานพลาสติกส่ายไหวตามแรงกระทบ ท่ามกลางแสงแดดตอนบ่าย คลื่นลูกใหญ่กลิ้งตัวเข้าหาฝั่ง กระทั่งปีนขึ้นไปถึงยอด ผมจึงลุกยืน และในจังหวะนั้น เมื่อมองกลับไปบนหาด ผมเห็นรอยยิ้มที่สดใสยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ในวันไหนๆพร้อมมือสองข้างที่โบกไปมา


ยุนฮยองมาแล้ว





คืนที่สามที่ยุนฮยองอยู่ที่นี่มีงานเทศกาล ผมจองตัวเขาไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันก่อนหน้า


แม้จะมาเที่ยวทุกปี แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะอยู่ตรงจังหวะกับงานใหญ่ประจำเมือง


ยุนฮยองดูตื่นเต้นมาก ผมเองก็เช่นกัน


ผมมารอรับเขาที่หน้าบ้านพักสีขาวหลังเดิมตอนหกโมง ท้องฟ้ากำลังกลายเป็นสีม่วง ไม่มีแดด เหลือเพียงลมเย็นๆ


ยุนฮยองสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเดินลงมา ทันทีที่เขาเหยียบพื้นผมก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งที่อยู่ด้วยกันมาหลายวัน


ผมตัวสูงเท่าเขาแล้ว


"ยุนฮยอง ตอนนี้นายสูงเท่าไหร่" ผมถาม


เขานิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ


"ร้อยเจ็ดสิบห้า"


ผมจึงยิ้มร่าทันที


"ฉันโตทันนายแล้วนะ ปีหน้าถ้ากลับมานายต้องเตี้ยกว่าฉันแน่ๆ" ผมพูด คว้าคออีกฝ่ายมากอดไว้อย่างที่ชอบทำ


เขาเบ้หน้า ปากบ่นถึงความมั่นใจอย่างน่าหมั่นไส้ของผม


แล้วเราก็หัวเราะไปตลอดทาง


ยุนฮยองทำให้ผมมีความสุขได้ แม้จะแค่เดินคุยกัน


ถนนเลียบหาดวันนี้แตกต่างจากทุกที มันเต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอยจำนวนมากยาวไปจนสุดสาย ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของเมืองคล้ายจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่


คึกคักดีอย่างที่เคยเป็น


ผมคว้ามือคนข้างๆมาจับ เขาไม่ว่าอะไรนอกจากบีบกระชับมือผมไว้


ผมแค่ไม่อยากให้เราหลงกัน ต่อให้มีมือถือแต่กว่าจะตามหาตัวเจอคงกินเวลาไม่น้อย


ยุนฮยองดูจะถูกใจงานเทศกาลเอามากๆ เขาเป็นฝ่ายลากผมเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ไม่ได้หยุด ริมฝีปากแดงๆทำหน้าที่สลับไปมาอยู่สามอย่างระหว่างพูดกับผม ยิ้มหวานๆ และเคี้ยวของกินจนแก้มตุ่ย


ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็น่ารักเสมอ


ทุกการกระทำของเขาทำให้ผมยิ้มตาม อยากจะมองอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เสียงจอแจรอบด้านยังดังน้อยกว่าเสียงหัวใจกำลังทำงานอย่างหนักของผมเสียอีก


ที่เขาเรียกว่าใจเต้นแรง มันเป็นแบบนี้หรือเปล่า


คิดถึงตรงนี้แล้วจู่ๆสองข้างแก้มก็ร้อนวูบวาบขึ้นมา


ผมละสายตาจากใบหน้าใสๆของคนน่ารักที่เอาแต่เคี้ยวลูกชิ้นปิ้งเสียบไม้ ก้มลงมองมือที่จับกันไว้


อบอุ่นดีเหลือเกิน


แล้วยุนฮยองก็หันมาพร้อมลูกชิ้นลูกสุดท้าย เขายื่นมันมาจ่อชิดปากผมแทนการบอกให้กินเข้าไป


"ฉันอุตส่าห์ป้อนนาย เลิกทำหน้างงแล้วกินเข้าไปได้แล้ว"


ถ้านี่คือคำสั่ง ก็คงจะเป็นคำสั่งที่น่ารักที่สุดในโลก


ผมยอมทำตามแต่โดยดี


ยุนฮยองหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเริ่มมองหาของกินอีกครั้ง


เขาที่สดใสแบบนี้ ดีที่สุดแล้วจริงๆ


"ลงไปที่หาดกัน" ผมบอกหลังจากเราเสียเงินซื้อหวานเย็นไปคนละอัน


ยุนฮยองคาบหลอดพลาสติกใสๆซึ่งถูกตัดปลายแล้วไว้ในปาก แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่เขาก็ยอมให้ผมจูงฝ่าผู้คนออกมา


แทรกตัวผ่านร้านข้างทาง ก่อนจะก้าวลงบันไดหินซึ่งเชื่อมระหว่างถนนลาดยางกับผืนทราย


"ยังอยากกินอยู่เลย" ยุนฮยองพูดทั้งที่กำลังบีบหวานเย็นอยู่


แก้มใสๆสองข้างป่องกว่าปกติ น่ารักดี


"มีของดีจะให้ดู ถ้าไม่รีบตอนนี้อีกสักพักต้องไม่มีที่แน่ๆ" ผมว่า หลีกเลี่ยงการจะอธิบายตรงๆว่ามีอะไรรออยู่


ถ้ารู้ก่อนจะเซอร์ไพรส์ได้อย่างไร


เราหยุดที่จุดหนึ่งของหาด ห่างไกลจากผู้คนซึ่งเริ่มเดินลงมาบ้างแล้ว รองเท้าแตะสองคู่ถูกถอดวางข้างกัน แล้วผมกับเขาก็นั่งลงด้านบน ในมือข้างหนึ่งคือหวานเย็น ส่วนอีกข้าง คือมือของเราที่จับกัน


"อีกห้านาที" ผมพูด ในกรอบสายตา บนผืนทรายห่างไกลออกไป ผู้คนเนืองแน่นพากันอออยู่ริมทะเล ไม่มีใครคิดจะเดินมาทางเรา แน่ล่ะ แถวนี้มืดอย่างกับอะไร ดูน่ากลัวและอันตราย แม้ว่าความจริงจะไม่มีอะไรก็ตาม


"มีอะไรกันแน่ บอกฉันสักทีสิ" ยุนฮยองกล่าวเสียงฉุน เขากัดหลอดหวานเย็นที่กินหมดไปกว่าครึ่งไว้


"เดี๋ยวก็ฟันหักหรอก" ผมดุ


"ยุ่งน่า" แล้วเขาก็หันหน้าหนีไปอีกทาง


บทสนทนาระหว่างเราสิ้นสุดลงแค่นั้น กระทั่งเสียงหวีดแหลมแหวกอากาศแสนคุ้นเคยดังขึ้น


ยุนฮยองเงยหน้ามองฟ้าทันที ผมก็เช่นกัน


แล้วเสียงระเบิดกับแสงไฟสว่างวาบบนผืนผ้าใบสีดำก็เป็นสิ่งต่อมาที่เรารับรู้


พลุนับสิบดอกกำลังแตกกระจายกินพื้นที่ในอากาศ


ผมไม่ได้สนว่ามันสวยแค่ไหน เมื่อรอยยิ้มของคนข้างๆน่ามองกว่ามาก


คืนนี้มีพลุห้าพันดอก นั่นแหละสิ่งที่ผมอยากมอบให้เขา


ยุนฮยองยิ้มกว้าง ดวงตาคู่นั้นสะท้อนเพียงแสงสีบนฟากฟ้า มือที่จับกุมกันอยู่ยิ่งกระชับนั่นเข้า


เขาบีบมือผม


"รู้ไหม ทำไมฉันถึงเลิกกับแฟน"


แล้วจู่ๆเขาก็ถามออกมา


ผมส่ายหัว ถึงตรงนี้ ยุนฮยองหันมามองผมเช่นกัน ในดวงตาเหมือนลูกแก้วของเขาสะท้อนเพียงภาพผม


"เพราะหัวใจของฉันเต้นเพื่อคนอื่นมานานแล้ว"


แปลกดีที่ผมปวดหนึบในอกเพราะประโยคนี้


"นานแล้วเหรอ" ผมถาม


ยุนฮยองจึงพยักหน้า


"นานมาก ทั้งที่เขาเป็นแค่ไอ้บ้าที่ชอบว่ายน้ำ" เขาว่า รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนเรียวปากสีแดง


ผมเงียบ ในขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ แทนที่ความรู้สึกไม่น่ารื่นรมย์เมื่อครู่


"ตลกดี ว่าไหม เราเหมือนเพื่อนสนิท...ไม่สิ ต้องบอกว่าเพื่อนสมัยเด็ก ฉันรู้จักเขาตั้งแต่ห้าขวบ แล้วทำไมฉันถึงใจเต้นกับคนแบบนั้นได้"


ยุนฮยองพูดต่อ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ระยะห่างระหว่างเราลดลงเหลือเพียงหนึ่งฝ่ามือ


"ฉันโคตรคิดมาก คิดแล้วคิดอีกว่าจะบอกเขาดีไหม แต่สุดท้ายก็อย่างที่เห็น ฉันกลัวถ้ารอนานกว่านี้หมอนั่นจะมีคนอื่นไปซะก่อน ยิ่งโง่ๆอยู่ด้วย"


หัวใจของผมเต้นแรง อาจจะมากพอๆกับเสียงพลุบนฟ้า


"ถ้าโอเคก็จูบตอบ แต่ถ้าไม่ก็อยู่นิ่งๆแล้วกัน"


และโดยที่ผมไม่อาจทำความเข้าใจประโยคนั้นได้ ริมฝึปากที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็แนบลงมา


ยุนฮยองจูบผม


ผมนิ่ง อึ้งไปหลายวินาที จนกระทั่งตอนที่เขากำลังจะผละออก ผมคว้าท้ายทอย กดยุนฮยองไว้อย่างนั้น แล้วจูบตอบ


เราจูบกัน


ใต้ผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยพลุนับร้อยนับพัน นั่นเป็นครั้งแรกที่เราจูบกัน







ฤดูร้อน, 2016


ผมอายุยี่สิบเอ็ด ตอนนี้เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หลายสิ่งเปลี่ยนไป อย่างน้อยๆก็อายุที่มากขึ้น การต้องย้ายจากชนบทเข้ามาเรียนต่อในเมือง และความสัมพันธ์ของผมกับยุนฮยอง


"จีวอน เก็บกระเป๋ารึยัง"


"แป๊บๆ ขอจบด่านนี้ก่อน" ผมตะโกนตอบกลับเสียงที่ดังมาจากสักส่วนหนึ่งของห้องชุดราคาไม่แพงตามสไตล์หอพักใกล้มหาวิทยาลัย ในขณะที่สายตาจดจ้องฉากซึ่งกำลังเคลื่อนไหวในหน้าจอโน้ตบุ๊ก ส่วนมือก็กดเมาส์ออกคำสั่งตัวละคร


ช่วงนี้ผมค่อนข้างติดเกม อาจจะเพราะตอนเปิดเทอมไม่ได้มีเวลาให้เล่นมากมาย


วิศวะเครื่องกลน่ะเรียนหนัก ใครๆเขาก็รู้


"จะกลับบ้านชาติหน้ารึไง ลุกมาเก็บกระเป๋าได้แล้ว"


เป็นเสียงเดิมที่แว้ดใส่ผม แปลกดี ทั้งที่มันออกจะน่ารำคาญแต่ผมกลับชอบฟัง และจะดีที่สุด ถ้าอีกฝ่ายเปลี่ยนจากคำบ่นเป็นร้องครางหวานๆตอนกลางคืน


คิดถึงตรงนี้แล้วผมก็เผลอยิ้มออกมา


ยุนฮยองถือเรื่องเซ็กซ์มาก แต่ก็นั่นแหละ เขายอมผม


"ยิ้มอะไรคนเดียว ไปเก็บกระเป๋า แม่สั่งให้นายกลับวันนี้นะ"


"รู้แล้วน่า บ่นมากๆไม่เหนื่อยเหรอยุนฮยอง" ผมรับคำอย่างขอไปที


ยุนฮยองก้าวมาหยุดตรงหน้า สองมือเท้าเอว ใบหน้าบูดบึ้ง ริมฝีปากแดงยื่นออกมาเหมือนเป็ด ส่วนเส้นผมสีน้ำตาลก็ยุ่งเหยิงอย่างคนไม่ได้หวี


เขาคงดูน่ากลัวกว่านี้ ถ้ากางเกงที่สวมจะยาวลงมาอีกสักหน่อย ไม่ใช่ซ่อนอยู่ใต้ชายเสื้อยืดตัวเบ้อเริ่มของผมแบบนั้น


ผมยอมกดหยุดเกม ยกโน้ตบุ๊กลงจากตักไปวางบนพื้นที่ว่างของโซฟาข้างๆเพื่อเปิดทางให้เจ้าของตัวจริง


มือเรียวถูกคว้าไว้ กระตุกเพียงเบาๆเขาก็ลงมากองแทนที่เรียบร้อย


"ทำไมดุจัง อยากให้ฉันกลับแล้วเหรอ" ผมถาม กอดเอวคอดไว้หลวมๆ


ตลกดีเหมือนกัน จากเด็กชายนักฟุตบอลผิวคล้ำ (แต่น่ารัก) ยุนฮยองกลายเป็นผู้ชายผิวขาวตัวหอมไปแล้ว


เป็นพัฒนาการที่หากย้อนไปถามตัวเองสมัยประถมว่าเคยคิดถึงสิ่งนี้หรือเปล่า ผมในตอนนั้นคงจะส่ายหัวปฏิเสธท่าเดียว


"แม่บอกให้นายกลับวันนี้" ยุนฮยองย้ำประโยคเดิม


"ทำไมนายไม่ไปพร้อมกัน" แต่ผมกลับย้อนถามแทนที่จะรับคำ


"บ้านฉันอยู่แค่นี้ กลับเมื่อไหร่ไม่ใช่ปัญหา" เขาว่า


ผมจึงส่ายหัวปฏิเสธ


"ไม่ได้หมายถึงบ้านนาย บ้านฉันน่ะ ยังไงก็ต้องไปอยู่แล้ว แค่เดินทางเร็วขึ้นสักอาทิตย์สองอาทิตย์จะเป็นไรไป"


"เป็นสิ มันไม่ชิน" ยุนฮยองตอบ เขาซบแก้มลงกับไหล่ของผม เบียดมันอย่างคนขี้อ้อน "ฉันชอบเวลาไปถึงแล้วเจอนายรออยู่"


แล้วผมจะทำอย่างไรได้ นอกจากยอมทุกอย่างที่เขาต้องการ


ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน เพราะจูบใต้ดอกไม้ไฟในคืนนั้น


จากเพื่อนสมัยเด็ก กลายเป็นคนรัก


เราเข้ากันได้ดี เถียงกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ไม่ได้หวานชื่นตลอดเวลา แต่ผมกลับชอบทุกๆวินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน


ผมตั้งใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมือง อ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังจนถึงขั้นต้องหยุดว่ายน้ำ แต่ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผมมีคนที่อยากจะใช้วันพรุ่งนี้ร่วมกัน


ผมได้เรียนวิศวะที่มหา'ลัยมีชื่อสมใจอยาก รู้สึกภูมิใจไม่หยอกตอนบอกเรื่องนี้กับกลุ่มเพื่อนร่วมห้องแล้วพวกเขาฮือฮาเสียใหญ่โต และเรื่องราวยิ่งดีขึ้นไปอีกเมื่อยุนฮยองติดที่เดียวกัน


ตอนนี้เขาเรียนหมออยู่ปีสาม เป็นรุ่นพี่คนดังเจ้าของตำแหน่งเดือนมหา'ลัยที่ทำเอาปีต่อมามีเด็กสมัครสอบเข้าคณะแพทย์อย่างล้นหลามเป็นประวัติการณ์


น่าเสียดาย ว่าที่คุณหมอยุนฮยองน่ะมีเจ้าของแล้วทั้งกายใจ


ผมได้ยุนฮยองเป็นรูมเมทตั้งแต่ปีหนึ่ง เพราะสนิทกันอยู่แล้วอะไรๆจึงง่ายขึ้น แทบจะไร้ซึ่งการปรับตัว สไกป์กลายเป็นโปรแกรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไป เมื่อผมมองเห็นเขาอยู่ตรงนี้ ในจุดที่สัมผัสได้จริง


เราเป็นทั้งเพื่อนร่วมห้องและคนรัก


ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือเขาไปหาผมที่ร้านน้ำแข็งไสของแม่เหมือนเดิม


คืนนั้นผมเก็บกระเป๋าตามคำสั่งคุณหมอ นั่งรถบัสข้ามจังหวัดกว่าจะถึงบ้านอีกทีก็ตอนเช้า


หาดทราย กลิ่นเกลือ เกลียวคลื่น และแสงแดด ผมรู้สึกดีเสมอเมื่ออยู่ใกล้มัน


และแน่นอน ปีนี้ผมก็ยังเฝ้ารอการมาถึงของยุนฮยอง






สองอาทิตย์หลังจากนั้น บ้านพักสีขาวริมทะเลหลังเดิมก็ได้ต้อนรับแขกขาประจำ ยุนฮยองมาถึงพร้อมครอบครัว เขาดูมีความสุขมาก


รอยยิ้มสดใส ริมฝีปากสีแดง


ผมรู้สึกเหมือนค้นพบดวงอาทิตย์ดวงที่สอง ไม่ใช่สำหรับโลก แต่สำหรับผมคนเดียว


"ไง"


นั่นคือคำทักทายของเขาที่หน้าเพิงขายน้ำแข็งไส ตอนนี้ยังเช้าเกินกว่าจะมีลูกค้า


"คิดถึง" และนี่คือคำทักทายของผม


ยุนฮยองหน้าแดง ถึงอย่างนั้นก็ยังก้าวเข้ามาหาผมที่อยู่หลังโต๊ะวางอุปกรณ์


"น้ำแข็งไสน้ำแดง ใส่ขนมปัง ราดนมเยอะๆ แล้วก็ขอของแถมเป็นคนขายหนึ่งที่ครับ" เขาพูดประโยคยาวๆออกมาทั้งที่แก้มสองข้างดูใกล้ระเบิดเต็มที


เช่นเดียวกัน ใบหน้าของผมกำลังร้อนวูบวาบ


"นั่งรอสักครู่ หรือจะยืนเป็นกำลังใจตรงนี้ก็ได้ครับ" ผมว่า


ยุนฮยองหัวเราะ เขาลากเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมาด้านหน้าแล้วนั่งลง


"มองแบบนั้นฉันกดดันนะ" ผมพูดระหว่างก้มหน้าก้มตาใส่น้ำแข็งเข้าเครื่องบด ในขณะที่มืออีกข้างก็หมุนวงล้อให้มันทำงานไปด้วย


"อย่าสนใจสิ ทำไป" ยุนฮยองกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ หนำซ้ำยังวางศอกเท้าคางกับโต๊ะหน้าตาเฉย


ต่อให้หันหลังก็ยังรู้ว่าถูกเขาจ้อง จะไม่ให้ผมกระดากบ้างก็กระไรอยู่


ผมใส่ขนมปังทรงลูกเต๋าลงในถ้วย บดน้ำแข็งทับด้านบน ราดน้ำแดงและนมข้นปริมาณมหาศาลตามคำสั่ง


อันที่จริง ไม่ว่าจะกี่ปียุนฮยองก็มักจะสั่งแม่ผมแบบนี้ เขาชอบนมข้นที่อยู่บนน้ำแข็งไสมาก


ผมส่งถ้วยให้ลูกค้ารายแรกของวัน รับเงินจากอีกฝ่ายมาโดยไม่อิดออด ปล่อยให้คุณหมอเพลิดเพลินไปกับของหวาน ในขณะที่ผมเก็บขวดน้ำหวานเข้าที่


"กินด้วยกันไหม" แล้วจู่ๆเขาก็ถามขึ้น


ประโยคคุ้นเคยในสถานการณ์เคยคุ้นซึ่งคล้ายจะเกิดขึ้นนานมาแล้ว


ผมได้แต่กระพริบตาอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งยุนฮยองพูดต่อ


"เราชื่อยุนฮยองนะ" จากนั้นก็ยกยิ้มจนดวงตายิบหยี


วันนั้น เมื่อสิบหกปีก่อน


"เราชื่อจีวอน" ผมตอบกลับไปพลางเดินออกจากด้านหลังโต๊ะวางของเพื่อลดระยะห่างระหว่างเรา


"อ่ะ"


ยุนฮยองตักน้ำแข็งไสจนพูนช้อน เขายื่นมาให้ ผมจึงโน้มตัวลงรับมันเข้าปาก


แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน






-------------------------------------------------------------------


เป็นฟิคที่กินระยะเวลาการเขียนยาวนานมาก


15 หน้าถ้วนนี่ยาวมากสำหรับ os ที่เขียนแต่ละครั้ง


เป็นอีกครั้งที่ชื่อฟิคมาจากชื่อเพลง summer paradise - simple plan ft. Taka one ok rock ลองหาฟังกันได้ค่ะ


ตอนแรกตัดสินใจนานมากว่าจะให้เขาคบกันจนจบหรือเลิกกันดี แต่เห็นแก่ความรอนานของพระเอก คบก็ได้


ฮาาาา


คอมเมนท์ ติ ชม หรือสกรีมที่แท็ก #ikonwarehouse นะคะ

Continue lendo

Você também vai gostar

189K 13.3K 56
អាថ៍កំបាំងនិងរឿងរ៉ាវជាច្រើននៃភូមិគ្រិះត្រកូលគីមធ្វើអោយបុរសម៉ាហ្វៀមានអំណាចវ័យ38ឆ្នាំ ម្នាក់សម្រេចចិត្តឈានជើងចូលទៅក្នុងភូមិគ្រិះមួយនោះដោយការរៀបការជាមួយ...
334K 658 13
- พล็อตฟิคสั้นตามอารมณ์ค่ะ - - ลงในเด็กดีมาก่อนนะคะ แล้วย้ายมาลงใน Watt Pad - ทวงฟิคที่ Twitter : BP_BBBOOS
194K 2.4K 23
"เด็กคนนั้นขายเท่าไหร่?" Hashtag on twitter #ป๋าจอนของจีมิน #แท็กรวมพีเอ็มซี Open : 21/02/60 Close : 30/07/60
107K 2.1K 33
"จีมินเป็นอะไรลูก" "จีมินเลือดออก!!" "โซเมทบ้าบออะไรกัน ฉันไม่เป็นกับนายด้วยหรอก ฉันเกลียดนาย เกลียดๆๆๆๆๆได้ยินมั้ย"