Title : Giant & Tiny
Fandom : Captain America, Iron Man, The Avengers
Pairing : Steve Rogers x Tony Stark
Rate : PG
คำเตือน : แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายและอาจมีสปอยเนื้อเรื่องในบางเหตุการณ์ โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน
โทนี่ไม่ชอบให้ใครพูดเรื่องส่วนสูงของเขา นี่เป็นเรื่องที่เหล่าคนสนิทและทีมอเวนเจอร์สทุกคนรู้ดี
แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อโทนี่เป็นผู้ชายไซส์มาตรฐานที่ออกจะ ตัวเล็ก ไปสักหน่อยเมื่อต้องมายืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ผู้มีหุ่นสูงใหญ่ เต็มไปด้วยมัดกล้าม เรียกได้ว่ากำยำล่ำสันกว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างแอนโทนี่ สตาร์กกันทุกคน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนเปรียบเทียบเรื่องส่วนสูงในบางครั้ง
และนาตาชาก็ชอบที่จะมองปฏิกิริยาของโทนี่เวลาที่เขาได้ยินคำเปรียบเทียบเหล่านั้น ก็มันน่าสนุกจะตายเวลาที่เห็นคนโดนแหย่แล้วเจ้าตัวขู่ฟ่อเหมือนแมวพองขน หรือไม่ก็ทำปากกล้า ตอกด้วยคำพูดเจ็บแสบกลับไป ใช้คำว่าตัวเล็กแต่ใจใหญ่คงจะเหมาะที่สุด
แต่สิ่งที่นาตาชาชอบยิ่งกว่าเวลาเห็นโทนี่พองขนขู่คนอื่น คือพฤติกรรมเวลาที่โทนี่อยู่กับสตีฟ - เวลาที่ไอรอนแมนถอดเกราะอยู่กับกัปตันอเมริกาที่แขวนโล่ห์ไว้บนชั้น มันเป็นความสัมพันธ์ที่เธอและเพื่อนๆ ในทีมให้ชื่อเรียกอย่างลับๆ ว่า ตัวใหญ่ – ตัวเล็ก
ใครต่อใครต่างก็คิดว่าทั้งคู่ไม่ถูกกัน แน่นอนว่ารวมถึงเธอด้วย ครั้งแรกที่เจอก็เกือบจะได้วางมวยเพราะความคิดเห็นไม่ตรงกันและการใช้คำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ของโทนี่ แต่เมื่อได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ออกทำภารกิจด้วยกันมากขึ้น ต่างฝ่ายต่างเริ่มปรับตัวเข้าหากันทำให้ระยะห่างของทั้งคู่ก็ลดน้อยลง ไม่มากแต่ก็ไม่ได้แย่เหมือนช่วงแรก และนั่นทำให้นาตาชาเริ่มสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ด้วยความสนใจ
ครั้งแรกที่เธอสังเกตเห็นความสัมพันธ์นี้คือระหว่างรอประชุมทีมอเวนเจอร์ส
หลังจากส่งโลกิกลับไปรับโทษพร้อมกับธอร์ที่แอสการ์ด อเวนเจอร์สที่เหลืออยู่ก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองตามแต่ที่ได้รับมอบหมาย จนเมื่อชิลด์ติดต่อเพื่อขอรวมพลทีมอเวนเจอร์สเท่าที่เป็นไปได้ให้มาทำภารกิจร่วมกันอีกครั้ง นาตาชาก็พร้อมตอบตกลง ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องปฏิเสธอยู่แล้ว
ตอนที่ถึงห้องประชุมตัวหลักประจำทีมก็รออยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนทั้งสองคนกำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ในมือของกัปตันกันอยู่ พอมองดีๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ของสตาร์กอินดัสทรี่ที่เธอเพิ่งได้เห็นผ่านหน้าจอโทรทัศน์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่แปลกหรอกที่เจ้าของบริษัทจะมีมันไว้ แต่ที่แปลกคือคนที่ถือเป็นอีกฝ่ายที่ไม่รู้เรื่องไอทีในยุคนี้เลยนั่นแหละ
"เพิ่งเห็นว่าคุณมีโทรศัพท์เครื่องใหม่" หญิงสาวเอ่ยทักขึ้นก่อน
"อ่อ... ไม่หรอก ไม่ใช่ของผม โทนี่แค่ให้ยืมเล่นนิดหน่อย" เจ้าของร่างกำยำว่าพลางขมวดคิ้วมองสิ่งที่อยู่ในมือ "แต่ผมไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ "
"ซึ่งก็ไม่แปลกใจ เพราะคุณปู่หวานเย็นถูกแช่แข็งมานานเกินกว่าจะอัพเกรดอะไรพวกนี้ทัน"
โทรศัพท์เครื่องบางถูกดึงออกจากมือโดยโทนี่ที่เปลี่ยนบริบทจากการยืนเป็นลดตัวนั่งลงบนโต๊ะยาว นิ้วเรียวไล่หน้าจอเล่นไปเรื่อยจนเกิดเป็นภาพสามมิติกลางอากาศ หากดูไม่ผิดน่าจะเป็นรายชื่อและเบอร์โทรติดต่อของสมาชิกในทีมแต่ละคน เพราะเธอเห็นชื่อตัวเองและคลินท์อยู่ในนั้นด้วย
"แต่เป็นคุณเองไม่ใช่หรือไงที่อยากให้ผมพกเอาไว้จะได้ติดต่อกันได้?"
สตีฟเท้ามือบนโต๊ะ ไม่ไกลจากบริเวณที่อีกคนนั่งอยู่เท่าไหร่ มืออีกข้างที่ว่างสอดเข้ากระเป๋ากางเกง ทิ้งแรงลงที่ขาข้างเดียวในท่วงท่าสบายๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่เจ้าของเทคโนโลยีล้ำหน้า พ่วงด้วยการยิ้มมุมปากเล็กน้อย มันเป็นท่าทางที่นาตาชาให้คำจำกัดความว่า ฮอท มาก
และท่าทางแบบนั้นเธอเคยเห็นแค่เวลาที่เขากำลังพยายามจะเกี้ยวสาวสักคนในงานเลี้ยงเท่านั้นแหละ
"ก็จริง" โทนี่ยักไหล่ "งั้นเอาไว้จะทำอีกเครื่องให้เป็นพิเศษแล้วกันนะกัปตัน อ่อ ไม่ลืมพวกคุณหรอก" ไม่ว่าเปล่ายังเอาโทรศัพท์ในมือตบเบาๆ ที่อกแกร่งแถมหันมาขยิบตาให้หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องด้วย
"ถ้าไม่เสียค่าใช้จ่ายก็โอเค" เธอยักไหล่
"หักลบจากเงินบำนาญทหารที่สะสมมาของคุณปู่น่าจะพอสำหรับทุกคน"
ได้ยินแบบนั้นสตีฟถึงกับหันขวับ เขามองคนที่ทำเป็นไม่สนใจเอาแต่สนใจสิ่งของในมือสักพักก่อนจะใช้นิ้วของตัวเองลากหน้าจอโทรศัพท์มั่วๆ ไปเรื่อยจนโทนี่เอ่ยปากประท้วง จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันต่อ ทั้งเรื่องของเครื่องมือสื่อสาร เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ นัดกันไปทานอาหารพื้นเมืองที่เคยไปด้วยกันอีก ตลอดจนคิดแพลนเที่ยว การแสดงออกของคนต่างไซส์นั้นเป็นธรรมชาติราวกับว่าทั้งคู่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางจนต้องเอาโล่ฟาดฟันกันมาก่อน
แม้ช่วงแรกเธอจะไม่ติดใจอะไรนัก และเห็นว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่หัวหลักของทีมไม่วางมวยทั้งด้านคำพูดและการกระทำเหมือนแต่ก่อน แต่พอผ่านไปสักพัก สัญชาตญาณความเป็นผู้หญิง และต่อมความเป็นนักสืบก็ทำให้เธอเอะใจในความสัมพันธ์ของสองคนนั้น และไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ใช่เธอคนเดียวที่คิด เพราะคลินท์ก็รู้สึกเหมือนกัน
"แนท เธอต้องหันไปดูเดี๋ยวนี้"
คำพูดและท่าทีพยักเพยิกใบหน้าไปทางห้องครัวเรียกความสนใจจากนาตาชาที่กำลังนั่งอ่านไฟล์ข้อมูลเป้าหมายรายต่อไปให้หันไปสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านหลังของเธอ
ตึกสตาร์กทาวเวอร์ที่พวกเธออยู่ในตอนนี้นั้นกว้างขนาดที่เอาคนจากหน่วยชิลด์ทั้งหน่วยมายัดก็ยังพอมีที่ให้วิ่งเล่นได้สบายๆ แต่ไม่รู้ทำไมสตีฟกับโทนี่ถึงต้องไปยืนเบียดกันในห้องครัว มองจากมุมนี้แผ่นหลังของกัปตันอเมริกากว้างมาก กว้างจนตอนแรกหญิงสาวมองไม่เห็นคนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาด้วยซ้ำ จนกระทั่งได้ยินเสียงเจ้าของสถานที่เอ่ยขอกระปุกพริกไทยนั่นแหละ นาตาชาถึงได้รู้ว่าโทนี่โดนยืนซ้อนหลังอยู่
ดวงตาคู่สวยหรี่ลง เปลี่ยนจากสายตาของผู้หญิงธรรมดาเป็นสายตาเต็มไปด้วยความกังขาในแบบของแบล็ควิโดว์ นาตาชาหันกลับไปสบตาอย่างรู้ทันกับคลินท์ ก่อนจะเลิกสนใจเอกสารตรงหน้าแล้วเปลี่ยนท่านั่งเพื่อจะได้มองการกระทำของสองคนในห้องครัวได้ถนัด
"ไม่ใช่กระปุกนั้น นั่นมันน้ำตาล ขออันข้างๆ "
"อันนี้?"
"คุณปู่... นั่นมันข้างบนไม่ใช่ข้างๆ แก่จนหลงทิศแล้วหรือไง?"
จากมุมมองด้านหลังสิ่งที่เห็นคือสตีฟขยับตัวไปยืนใกล้หลังร่างสันทัดมากขึ้นเพียงเพื่อจะหยิบกระปุกพริกไทยที่อยู่บนชั้น แถมยังหยิบผิดจนโทนี่ที่กำลังลงมือเตรียมอาหารต้องเขย่งขึ้นไปหาเอง และคนตัวโตกว่าคงจะกลัวว่าการยืดตัวจะทำให้เอวเคล็ดหรืออย่างไรก็ไม่รู้จึงต้องเอามือโอบเอวอีกฝ่ายไว้ด้วย
"...ลวนลามกันหรือไงปู่?"
น้ำเสียงเย้าแหย่พร้อมสายตากวนโอ้ยตามแบบฉบับคนตระกูลสตาร์กเหลือบมองเจ้าของมือ ไม่แม้แต่จะทำท่าทีเหนียมอายให้บรรยากาศรอบข้างกลายเป็นสีชมพูมากกว่าที่เป็นอยู่นี้
"กลัวจะเขย่งไม่ถึง"
"เหอะ!"
ทำเสียงขึ้นจมูกไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงแถมยังปล่อยให้แขนที่วางอยู่บนเอวคาอยู่อย่างนั้น และพนันได้ว่าจะอยู่อย่างนั้นจนกว่าโทนี่จะทำอาหารเสร็จ
นาตาชาหันกลับสบตากับเพื่อนสนิทอีกครั้ง ครั้งนี้เธอเลิกคิ้วด้วยต้องการจะถามความแน่ใจว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นไม่ได้มีความผิดพลาดอะไรใช่ไหม และคำตอบที่เธอได้จากคลินท์คือการพยักหน้าพร้อมคำว่า...
"เริ่มอีกแล้วโมเม้น ตัวใหญ่ - ตัวเล็ก"
นาตาชาและคลิน์นลงความเห็นว่าอาหารเย็นมื้อนั้นหวานแม้พวกเธอจะโรยพริกไทยลงไปเยอะมากก็ตาม
"เพื่อนข้าสองคนนั้นเขาทะเลาะอะไรกันอีกแล้ว?"
เจ้าของสายฟ้าฟาดที่เพิ่งผ่าลงกลางตึกสตาร์กทาวเวอร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสับสนเมื่อเห็นบรรยากาศขมุกขมัวผ่านในห้องนั่งเล่น และการเขม่ง ฟาดฟันกันด้วยสายตาผ่านทางอากาศของคนสนิททั้งสอง
คลินท์และนาตาชาที่กำลังนั่งเปลี่ยนช่องรายการทีวีเพียงแค่เหลือบมองก่อนจะส่งยิ้มอ่อนๆ ให้เจ้าของคำถาม ยังไม่ทันได้ตอบคำถามเสียงตะโกนจากอีกฝั่งของห้องก็ดังขัดขึ้นมาก่อน
"จาร์วิสเป็นคนควบคุมระบบทุกอย่างของที่นี่กัปตัน การที่ฉันจะอยู่ในแล็บเพื่ออัพเดทจาร์วิสเป็นวันๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย!"
"แต่คุณจะเอาแต่หมกตัวไม่ออกมากินข้าว ไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลยไม่ได้ จาร์วิสไม่มีชีวิต เขาดูแลคุณตอนคุณล้มป่วยไม่ได้หรอกนะ คุณต้องหัดใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปบ้าง ไม่ใช่อยู่แต่กับระบบไร้สาระพวกนั้น"
บรรยากาศที่แย่อยู่แล้วยิ่งมาคุหนักขึ้นอีกเมื่อประโยคสุดท้ายหลุดออกจากปากของร่างสูง นาตาชาสาบานได้ว่าเธอเห็นธอร์และคลินท์ทำปากเป็นตัวโอเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แน่ล่ะว่าเธอก็ทำด้วยเหมือนกัน
"...อย่าพูดถึงเขาอย่างนั้นสตีฟ" สายตาแข็งกร้าวมองคนด้านหน้า ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมตัวหลีกห่างจากการพูดคุยกับคนตรงหน้า "จาร์วิสสำคัญมากกว่าจะเป็นแค่ระบบปฏิบัติการ และเขารู้ว่าควรจะต้องทำอะไรในเวลาไหนมากกว่าที่คุณรู้ด้วยซ้ำ"
ร่างโปร่งเดินเข้าลิฟต์ไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาสนใจคนที่พยายามเรียกชื่อตนเอง ฝ่ายคนที่พลาดพูดจาโดยลืมคิดไปถอนหายใจแรง สตีฟทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเดิมที่เคยนั่งจนถึงเมื่อครู่ ฝั่งผู้ที่กำลังติดตามการโต้เถียงของทั้งสองคนเงียบไปอึดใจนึง กว่านาตาชาจะนึกขึ้นได้ว่าควรจะต้องมีใครเป็นคนเปิดบทสนทนา ธอร์ก็แทรกพูดขึ้นมาก่อน
"พวกเจ้าทะเลาะกัน... เพราะเรื่องจาร์วิส?"
คำถามของเทพสายฟ้ากระตุ้นสติของผู้ที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่เงยหน้ามาให้ความสนใจกับเรื่องรอบตัว
"ใช่... ผมพยายามเตือนให้เขาออกมาจากห้องแล็บบ้าง แต่ดูเหมือนจะใช้คำพูดผิดไป" มือใหญ่ยกเสยผมตัวเอง "ขอโทษด้วยนะจาร์วิสที่เรียกคุณแบบนั้น" ครั้งนี้เขาเอ่ยกับความว่างเปล่า เพราะรู้อยู่แล้วว่าระบบอัจฉริยะคอยมองเขาอยู่ตลอดเวลา
"ไม่เป็นไรครับ แต่โปรดอย่าเข้าใจเจ้านายผิด เขาแค่ใจร้อนเกินไปและไม่ได้ตั้งใจจะใช้คำพูดแบบนั้นกับคุณ"
"ผมรู้จาร์วิส ผมรู้..."
ความเงียบก่อตัวในห้องอีกครั้ง มีบ้างที่จะได้ยินเสียงถอนหายใจจากสตีฟที่เอาแต่นั่งซึม คนเฝ้าสังเกตการณ์ทั้งสามจ้องหน้ากันไปมา แต่ละคนต่างพยายามหาเรื่องมาเปิดประเด็น และสุดท้ายก็เป็นธอร์ที่เริ่มต้นอีกครั้ง
"พวกเจ้าเหมือนคู่แต่งงานที่กำลังมีปัญหาเรื่องการหย่าร้าง..." เขาเงียบไปเพื่อคิดคำพูด "เรื่องของชายคู่แข่งที่เขามายุ่งในความสัมพันธ์ของพวกเจ้า"
คลินท์ที่กำลังยกน้ำดื่มถึงกับสำลัก
เจ้าของโล่ไวเบรเนี่ยมยกยิ้มให้ประโยคเปรียบเทียบของคู่สนทนา
"หากเป็นแบบนั้นจริงจาร์วิสคงจะได้โทนี่ไปง่ายๆ เลย"
"เจ้าอยากได้คำปรึกษาจากเราถึงวิธีที่ชาวแอสการ์ดใช้ง้อภรรยาหรือไม่?"
คราวนี้เป็นนาตาชาที่สำลักน้ำส้มแทน
ไม่รู้ว่าคำถามของธอร์นั้นจริงจังมากแค่ไหน และคนตัวโตอยากได้คำตอบมากขนาดนั้นจริงหรือเปล่า แต่เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้ นาตาชาจึงเลือกขัดจังหวะของสองหนุ่มเอาไว้ก่อน
"สตีฟ คุณแค่เข้าไปขอโทษ รอรับคำพูดเจ็บๆ คันๆ ที่จะตามมาโทนี่ก็น่าจะหายโกรธแล้วล่ะ"
เธอเดินไปหาเขา วางมือที่บ่าแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ และเชื่อว่าสิ่งที่สตีฟพูดไปล้วนเพราะเป็นห่วงเจ้าของเกราะเหล็กทั้งนั้น แต่เธอก็เข้าใจโทนี่เช่นกันว่าจาร์วิสและสิ่งประดิษฐ์ที่เขาสร้างมากับมือนั้นสำคัญกับเจ้าตัวมากแค่ไหน
"ขออภัยที่ขัดจังหวะครับ แต่เจ้านายกำลังขึ้นลิฟต์มา เผื่อคุณอยากจะเตรียมตัว"
สตีฟลุกยืนเต็มความสูง ก้าวเท้ายาวจากโซฟาตรงไปยังลิฟต์ตัวที่กำลังขึ้นมาทันทีที่จาร์วิสพูดจบ ไม่ต้องรอนานคนที่สตีฟกำลังรออยู่ก็เดินออกมาจากด้านใน โทนี่ชะงักไปเล็กน้อย ตากลมสีน้ำตาลเข้มกลอกไปมา เขาตั้งท่าจะเดินเลี่ยง แต่มือหนาก็ทันคว้าท่อนแขนเอาไว้เสียก่อน
"โทนี่ได้โปรด ผมเสียใจที่พูดแบบนั้น จาร์วิสสำคัญกับคุณมาก คุณสร้างเขาด้วยตัวเอง คุณให้ความสำคัญกับเขาผมเข้าใจแต่คุณต้องดูแลตัวเองบ้..."
"อ้ะๆ หยุดก่อนกัปตัน ยาวไป" โทนี่ยกมือห้ามไม่ให้พูดต่อ "แล้วไม่ต้องทำหน้าหมาหงอยขนาดนั้น"
ทั้งสามอยากจะลุกขึ้นไปหมุนตัวกัปตันอเมริกาผู้มีชื่อเสียงให้หันมาตอนนี้เสียจริง จะได้เห็นใบหน้าให้ชัดๆ
"เฮ้อ... ฉันก็... อาจจะผิดเองที่ใจร้อน แต่จาร์วิสสำคัญมากจริงๆ เขาทำได้ทุกอย่างแม้เขาจะไม่มีร่างกายก็ตาม"
"ขอบคุณครับเจ้านาย" สำเนียงภาษาอังกฤษเนาะหูแทรกขึ้น โทนี่เพียงขยิบตากลับไป
"แต่ฉันรู้ลิมิตตัวเอง และรู้ว่าต่อให้เป็นอะไรไปในแล็บนั้นจะยังมีจาร์วิส มีเปปเปอร์ที่สามารถติดต่อได้ 24 ชั่วโมง"
ไม่รู้ว่าเพราะเห็นพวกเขาสามคนมองอยู่หรือเปล่า มือที่ตอนแรกตั้งท่าจะลูบหัวคนผมบลอนด์ถึงได้เปลี่ยนไปตบเบาๆ ที่บ่าแกร่งแทน
"และตอนนี้ก็มีนายด้วย... เพราะงั้นไม่เป็นอะไรหรอก"
แล้วโทนี่ก็ยิ้ม รอยยิ้มพราวประดับใบหน้าคงมีแรงทำลายล้างสูงอยู่ ไม่อย่างนั้นกัปตันคงไม่คว้าตัวคนตรงหน้าเข้าไปกอดซะแน่นขนาดนั้น
"...เข้าใจแล้ว"
"แล้วทีหลังถ้าหึงก็บอกกันดีๆ นะกัปตัน ไม่ต้องเอาเรื่องอื่นมาอ้าง"
แน่ล่ะว่าโทนี่ก็กอดตอบ ทั้งคู่กอดกันอยู่นาน แน่นเสียด้วย
"...ระหว่างที่ข้าไม่อยู่พวกเขาเป็นแบบนี้ตลอดเลยหรือ?"
เทพสายฟ้าที่ตอนแรกมาเพื่อสังสรรค์ลืมสิ้นแล้วถึงจุดประสงค์หลักเอ่ยถาม คลินท์ที่นั่งเท้าคางมองด้วยความเบื่อหน่ายและนาตาชาที่คาดการณ์ไว้แล้วว่ามันจะต้องลงเอ่ยในรูปแบบนี้พยักหน้า
"ปกติของคู่ ตัวใหญ่ – ตัวเล็ก เขาน่ะ"
หลังจากนั้นธอร์ก็ก้าวเท้าเข้ามาในกลุ่มสังเกตการณ์เต็มตัว
"ถามจริง พวกเขาไม่ได้กำลังคบกันอยู่เหรอ?"
นั่นเป็นคำถามที่บรูซถามสมาชิกร่วมทีมในวันที่เขาแวะเข้ามายังสตาร์กทาวน์เวอร์เพื่อมาเยี่ยมทุกคนเป็นการส่วนตัวโดยไม่แจ้งทางชิลด์ไว้
"ทำไมคุณคิดแบบนั้นล่ะ?"
นาตาชาเป็นฝ่ายถามกลับ หญิงสาวกัดกระพุ้งแก้มด้านในของน พยายามกลั้นยิ้มเต็มที่และรู้ด้วยว่าสมาชิกในทีมอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างก็เป็นเช่นเดียวกับเธอ
"ก็ดูพวกเขาสิ คือผมรู้นะว่าเพื่อนสนิทกันเขาทำอะไรถึงเนื้อถึงตัวเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ใช่กับการนอนซบไหล่ดูทีวีสบายใจขนาดนั้นหรือเปล่า ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าสักพักโทนี่จะล้มตัวนอนหนุนตักกัปตันด้วย"
ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่ทั้งคู่กำลังทำอยู่ สตีฟนั่งบนโซฟาตัวยาวแขนเหยียดตามพนักโซฟาในขณะที่โทนี่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมหนุนหัวซบไหล่แกร่งดูสารคดีสัตว์โลกผ่านจอทีวีสามมิติขนาดกว่า 60 นิ้วด้วยความสบายใจ ไม่คิดจะเป็นหัวพวกเธอที่นั่งหันหลังให้เลยแม้แต่น้อย
"นายจะเห็นมากกว่านั้นอีกพี่เบิ้ม รอให้เขาคิดว่าพวกเราไม่เห็นก่อนเถอะ" คลินท์ยกยิ้มมุมปาก กลอกตาไปมา
"เจ้าจะได้เห็นในสิ่งที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น ข้าเคยเจอมาแล้ว" ธอร์คว้าโดนัทของฝากเข้าปาก พูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดประจำจนชิน
"พวกเขาจะทำอะไ— โอ้พระเจ้า!"
ทั้งสามคนมองหน้ากัน รู้โดยทันทีว่าสตีฟกับโทนี่ต้องแอบทำเรื่องกุ๊กกิ๊กกันอยู่ด้านหลังแน่ๆ และพวกเขาจะมีผู้ร่วมสังเกตการณ์เพิ่มขึ้นอีกคน
"นั่นแหละ ปกติของคู่ ตัวใหญ่ – ตัวเล็ก เขาน่ะ"
NEVER END
■ ■ ■ ■ ■ ■ ■ ■ ■ ■
Talk: ว่าจะไม่แต่งๆ สุดท้ายออกมาเป็นอะไรที่ชั่ววูบมากๆ ค่ะ... (โปรเจคฟิคที่ต้องส่งยังไม่ได้แต่แต่มาลงเรื่องนี้ก่อน คิดดู)
นี่คือฟิค Stony เรื่องแรกที่ผสมความ AU จากจินตนาการของแฟนเกิร์ลเข้าไปด้วย เพราะเกิดอาการหน่วงกับ Civil War มาค่ะ คาดว่าแม่ยกคู่นี้คงมีอาการคล้ายๆ กัน เลยย้อนไปดูสมัยที่ทั้งคู่ยังรักกันดีแล้วก็บึ้มออกมาเป็นฟิคเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นบีกินเนอร์แฟนอาจจะเก็บรายละเอียดนิสัยตัวละครไม่ครบหรือตัวละครนิสัยประหลาดไปบ้างต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
สุดท้ายนี้ เรือเราจะไม่ล่มถ้าเราพายวนต่อไปค่ะ (เจ๊ดาวช่วยดันเรือเต็มที่) ฮึ้บ!
ขอบคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ