"น้องๆ มานั่งทำไรอยู่คนเดียวเนี่ย ตกรถเมล์หรอ ให้พี่ไปส่งมั้ย "
เสียงขลุ่ยเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในเครื่องแบบนักเรียนเวนเทียร์เต็มยศที่ย่อตัวลงมานั่งข้างๆเขาแล้วส่งรอยยิ้มใจดีมาให้ นี่ถ้าเป็นสาวๆคงละลายกลายเป็นฝุ่นละอองไปหมดแล้วละมั้ง
โชคดีนะที่เขาเกิดเป็นผู้ชาย!!
"ไม่ต้อง! "
เทลโอยักคิ้วให้กับเสียงแข็งที่ตอบกลับมา เด็กผู้ชายท่าทางไม่อายุไม่น่าจะเกินม.ต้นใบหน้าฟกช้ำเต็มไปด้วยร่องรอยตามเนื้อตัว นั่งกอดเข่าถอนหายใจอยู่หน้าโรงเรียนมาร่วม2ชั่วโมงแล้ว เขานั่งจับตามองอยู่ห่างจนคิดสงสารเลยเข้ามานั่งเป็นเพื่อน
"ทำไม"
"พี่สอนไม่ให้ไว้ใจคนแปลกหน้า "
คำของเด็กน้อยผู้หยิ่งทะนงเรียกเสียงหัวเราะให้เขาเข้าไปอีก
"หัวเราะอะไรอ่ะ "
เสียงขลุ่ยขึ้นเสีบงอย่างขุ่นเคืองเมื่อโดนหัวเราะเยาะ
"ป่าว! ก็แค่คิดว่าถ้ากลัวเรื่องแบบนั้นจริงๆ จะมานั่งล้อเสือล้อจระเข้ทำไม "
้เสียงขลุ่ยชะงักเข้าอย่างจัง เมื่อตระหนักได้ถึงท้องฟ้าที่แสงสว่างเริ่มหมดไป จริงสิ!นี่ก็เย็นมากแล้ว เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท แต่ก็ไม่วายที่จะอดถามคนข้างๆไม่ได้
"ว่าแต่พี่เหอะ! ว่าแต่คนอื่น แล้วทำไมไม่กลับบ้าน "
"พี่ก็นั่งเป็นเพื่อนนายไง ! "
คิ้วเขาขมวดเข้าหากัน แล้วชายแปลกหน้าคนนี้จะมานั่งเป็นเพื่อนเขาทำไม หน้าตาก็ดูดีไม่น่าจะใช้พวกมิจฉาชีพ หรือว่าเขาเป็นห่วงเรา
"ผมรอพี่อยู่"
"พี่?? "
"อืม..พี่สาวผมเรียนที่นี่ เธอกำลังจะมารับผม "
ไม่รู้ว่าทำไมถึงตัดสินใจพูดออกไป สงสัยคงเป็นเพราะว่าเราอยากมีเพื่อนคุยละมั้ง
"หึ!งั้นเธอก็คงเป็นพี่สาวที่แย่มากสินะ ถึงได้ทิ้งเราไว้คนเดียว ฮ่าๆๆ "
เขาพูดติดตลก หัวเราะเสียงดังลั่นทำลายบรรยากาศตึงเครียดที่เสียงขลุ่ยสร้างขึ้นมาอย่างราบคราบ ทำให้เสียงขลุ่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม
"ใช่เลย!นอกจากนั้น พี่ผมเธอเป็นคนซุ่มซามชอบทำโน่นทำนี่หกเลอะเทอะไปหมด ฮ่าๆ "
"ฮาๆ พี่สาวนายยังฮาน้อยกว่าพี่สาวพี่อีกนะจะบอกให้ ยัยนั่นน่ะชอบทาลิปสีแดงสดๆ ทาไปทามานึกว่าชะนีหลุดจากสวนสัตว์ ฮ่าๆ "
ไม่รู้ว่าเราคุยถูกคอกันตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็เข้าขากันซะแล้ว
***************
ฉันตั้งใจไปหาไอ้น้องชายตัวแสบที่บ้าน อุตส่าห์ลงทุนเดินเข้าไปคฤหาสน์ห่วยแตกนั่น แต่มันกลับโทรมาบอกฉันว่ามันรออยู่หน้าโรงเรียนฉัน การเปลี่ยนสถานที่กะทันหันกินเวลาไปไม่น้อย หันไปอีกทีนี่ก็เกือบจะมืดซะแล้ว
"โธ่เว้ย! ลุงค่ะเร่งหน่อยได้มั้ยค่ะ ป่านนี้น้องหนูจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้"
ฉันลนลานบอกลุงคนขับแท็กซี่
"โธ่!หนู นี่ก็สุดๆแล้วนะ ถ้าเร่งกว่านี้ลุงเกรงว่าล้อมันจะหลุดไปกลิ้งอยู่กลางถนนแทน "
รถคนขับพูดติดตลก แต่ฉันเนี่ยไม่มีอารมณ์ร่วมเลยตอนนี้
ก็จริงของลุงนั่นแหละ=_=
ฉันเหลือบมองไปรอบแท็กซี่เก่าคร่ำครึเหมือนเศษเหล็กวิ่งอยู่บนถนนก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ รอหน่อยแล้วกันนะไอ้น้องชาย =o=
.
.
.
เสียงหัวเราะเฮฮาดังก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ฉันรีบลงจากรถเดินไปตามเสียงนั่นทันที พอรู้ว่าเสียงหัวเราะนั่นเป็นของใคร
เสียงไอ้น้องชายตัวแสบของฉัน ใช่!ไม่ผิดแน่
ว่าแต่..มันคุยกับใคร??
ฉันค่อยๆย่องเข้าไม่ด้อมมองเงียบๆ ร่างเด็กผู้ชายใส่เครื่องแบบต่างโรงเรียนนั่งคุยอย่างถูกคอกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่หัวเราะจนตาหยีติดไม่เหลือตาดำ ไม่ต้องบอกก็รู้ หมอนั่น!!
เทลโอ!!! O_o
"เอ้า! พี่สายขิมมาตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ ขลุ่ยรอจนรากจะงอกแล้ว "
เสียงขลุ่ยทักขึ้นทันทีที่เหลือบเห็นฉันทำให้ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆหันมองตามมาด้วย วินาทีนั่นสายตาฉันก็ประสานกับหมอนั่นพอดี
"ยัยแว่นนี่หรอ พี่สาวนายอ่ะ "
น๋อย! กล้าดียังไงมาเรียกฉันว่ายัยแว่นย่ะ
"ใช่! นี่พี่ผม ว่าแต่พวกพี่รู้จักกันหรอ"
"ไม่/ใช่ "
เราสองคนประสานเสียงกันแต่คนละความหมายอย่างสิ้นเชิง แต่เดี๋ยวน่ะ เราหรอ! เอ้ย..ทำไมฉันต้องใช้คำว่าเราด้วยเนี่ย >\\\<
"เอ๊ะ!นี่นาย.. "
"ก็ฉันไม่ชอบโกหก "
เทลโอว่าพลางยักคิ้วข้างซ้ายขึ้นนิดหน่อย นั่นมันยิ่งทำให้เขาดูเจ้าเล่ห์เข้าไปอีก
นึกว่าหล่อนักรึไงห๊ะ! ไอ้ขึ้เก๊กเอ้ย=_=
คิดเท่าไหร่ฉันก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าเราสองคนไปรู้จักกันตอนไหน
ก็แค่อยู่โรงเรียนเดียวกันเดินเฉียดไปเฉียดมาแทบจะไม่ได้ทักทายกันด้วยซ้ำ อย่างว่าเขาคือคาสโนว่าซุปตาร์สุดหล่อประจำเวนเทียร์ จะต้องมารู้จักอะไรกับยัยเนิร์ดหน้าบ้านๆอย่างฉันละ แค่ชนชั้นทางสังคมในเวนเทียร์ฉันก็เทียบอะไรหมอนี่ไม่ติดแล้ว
"เลิกทำหน้างงได้แล้วยัยแว่น ฉันไงที่เราเจอกันที่คฤหาสน์วรากรณ์ในงานวันเกิดคุณหญิงพราวพิลาศไง ทำเป็นจำไม่ได้ไปได้ "
ก็ไม่ได้จำไม่ได้หรอก ก็แค่เห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องรู้จักกัน
"พี่นายนี่แปลกนะไอ้น้อง นอกจากชอบทำตัวเฉิ่มๆแล้วยังสมองปลาทองอีก หันกินปลาเยอะๆหน่อยก็ดีน่ะสาวน้อย"
เขาหันไปพูดกับเสียงขลุ่ยแต่มือนี่สิ้...ดันมาขยี้ไปมาบนหัวฉัน
น๋อยแน่ะ! เพื่อนเล่นหรอไอ้ตี๋น้อย
"ท่าทางพวกพี่คงจะสนิทกันจริงๆด้วย "
เสียงขลุ่ยยิ้มแป้นมาที่เราสองคน
แต่ฉันไม่มีอารมณ์มานับญาติกับใครหรอกนะ
ฉันหันขวับไปจ้องเทลโอตาเขียว ก่อนจะส่งเสียงอำมหิตๆเข้าประสาทหูหมอนั่นด้วยความอดทนที่เหลือน้อยเต็มที
"จะปล่อยมือจากหัวฉันได้รึยัง"
เขาเบะปากนิดหน่อย แล้วเอามือออกอย่างไม่อิดออด ให้ตายสิ..ทำไมวันนี้ฉันต้องมาทำสงครามประสาทกับหมอนี่ด้วยเนี่ย
"ไปกันเถอะ..ดึกแล้วมีอะไรไปคุยในหอ "
ฉันว่าแล้วจับมือเสียงขลุ่ยให้เดินตาม จริงๆแล้วรำคาญคนข้างมันต่างหากแหละ
"เดี๋ยวสิพี่สายขิม ขลุ่ยยังไม่ได้รู้จักพี่สุดหล่อเลย "
อุ๊ยตาย! ไอ้เด็กแก่แดด แกเรียกหมอนี้ว่าอะไรนะ แกไม่ได้วิปริตผิดเพศใช่มั้ยเสียงขลุ่ย !!
"พี่ชื่อเทลโอ ยินดีที่ได้รู้จักน่ะ "
เทลโอย่อเข่าลงมาแล้วส่งยิ้มให้เสียงขลุ่ยอย่างอ่อนโยน ซึ่งไอ้น้องชายตัวแสบของฉันก็ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ
"ผมเสียงขลุ่ยครับ น้องชายพี่สายขิม หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะ "
"แน่นอนสิ เราได้เจอกันอีกแน่ ใช่มั้ย!สายขิม "
เขาว่าแล้วเปรยสายตามาหาฉัน ฉันหันหน้าหนีทันที อร๊าย!มาถามฉันทำไมเนี่ย
"รีบไปกันเหอะ พี่รีบ "
"บ้ายบายครับพี่เทลโอ "
แหม๋!รู้จักกันยังไม่ทันข้ามวันมีบ้ายบงบ้ายบายกันแล้วนะ นี่ถ้ารู้จักกันเป็นเดือนเป็นปีไม่ไปเกาะหมอนั่นเป็นพี่แทนฉันเลยหรอห๊ะ! เอ้ย!แล้วนี่ฉันเป็นอะไรเนี่ย
อิจฉาหมอนั่นหรอ..ไม่..ไม่ใช่แหละ
*****************
»» หอพัก
ตุ๊บ!
"โอ้ยยย!!"
"ใจเย็นๆสิว่ะไอ้สายขิม เดี๋ยวเสียงขลุ่ยมันก็ตายพอดีหรอก"
นาริสว่ารีบเอาตัวกันเสียงขลุ่ยไว้ข้างหลังมันก่อนที่ฉันจะตีมันตายซะก่อน
"ใช่!ใจเย็นๆนะแก พี่น้องกันแท้ๆค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะ"
แชมเปญเสริมขึ้นอีกคน ในขณะที่มือมันกำลังรั้งแขนฉันแน่นจนกระดิกแทบไม่ได้
"เย็นหรอ! พวกแกพูดใหม่ดิ แกดูสภาพมันดิมันเป็นแบบนี้แกจะให้ฉันเย็นอีกหรอ "
ฉันตวาดลั่น จนสองคนนั้นถึงกลับพูดไม่ออก
ร่องรอยฟกช้ำและบาดแผลหลายแห่งบนใบหน้าและร่างกายของเสียงขลุ่ยเป็นเครื่องยืนยันและตอกย้ำโทสะของสายขิมได้เป็นอย่างดี
"ใช่! ถ้าฉันเป็นไอ้สายขิม ฉันจะตีให้ตายเลย "
"บลายธ์ !!"
แชมเปญกับนาริสพูดขึ้นพร้อมกัน แต่เจ้าตัวก็ยังลงนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนเล่นสบายใจไม่รู้ไม่ชี้
"ถ้าแกไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าแกเป็นใบหรอกนะ " นาริสว่า
"ปากฉันยะ ไปยืมแกรึไง "
"น๋อย!ยัยบลายธ์ "
"พอพอพอ..พี่น้องทะเลาะกันคู่เดียวฉันก็ห้ามไม่ไหวแล้ว อย่าก่อศึกสายเลือดกันเพิ่มเลยนะดเว้ย "
แชมเปญรีบห้าม เมื่อบลายธ์กับนาริสจะตีกันอีกคู่
ฉันรู้ดีว่านำเรื่องลำบากใจมากให้ยัยพวกนี้ปวดหัว แต่เรื่องนี้ฉันปล่อยไปไม่ได้จริง ไม่มีใครอยากให้คนในครอบครัวของตัวเองทำตัวเกเรหรอกนะ โดยเฉพาะเสียงขลุ่ยน้องชายที่อ่อนโยนของฉัน เขาเป็นเด็กดีมาตลอด แต่ทำไมมันถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ฉันไม่เข้าใจมันจริงๆเลย
"ปล่อยฉันได้ยังแชมเปญ ฉันต้องพูดกับมันให้รู้เรื่อง "
"ไม่!ฉันไม่ปล่อย น้องแกกลัวจนตัวสั่นหมดแล้วไม่เห็นรึยังไงสายขิม "
"ถ้ามันกลัวจริงๆมันคงไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้หรอก "
"เลิกบ้าสักทีน่า แกเป็นพี่มันประสาอะไรว่ะ น้องแกนิสัยยังไงแกยังไม่รู้เลย แกอยู่กับมันมาตั้งนานแกน่าจะเข้าใจมันมากที่สุดสิสายขิม ไอ้ขลุ่ยหนีร้อนมาพึ่งแกนะเว้ย แกตวาดใส่มันอีกคนมันถูกแล้วหรอว่ะ "
นาริสขึ้นเสียงแข่งกับฉัน ทำสถานการณ์หยุดชะงักไปชั่วขณะ
"ทำไมแทนที่แกจะมาทุบตีมันแกไม่ใช่เวลานี้ไปถามมันละว่ามันทำทำไม ทำเพราะอะไร ไม่มีใครเขาอยากทำความผิดหรอกนะสายขิมแม้แต่แกหรือฉัน น้องแกก็ด้วย มันขึ้นอยู่ที่ความจำเป็นด้วยกันทั้งนั้น ใจเย็นเมื่อไหร่ค่อยมาว่ากัน ไปเสียงขลุ่ย เดี๋ยวพี่หายาทาให้ "
นาริสว่าสายตามองมาที่ฉันด้วยความตำหนิ ก่อนจะพาร่างของเพลงขลุ่ยหายเข้าห้องนอนไป
จิตใจของฉันปั่นป่วนไปหมด ทั้งสับสนและวุ่นวาย ทำไม..ทำไมกัน.. ทำไมแทนที่ฉันจะปลอบประโยนน้องชายตัวเองฉันกลับเลือกที่จะทำร้ายเขา วินาทีแรกที่เห็นบาดแผลบนหน้าเสียงขลุ่ยฉันพยายามสะกดกลั้นอารมณ์มาตลอดทางรอจนถึงหอ อารมณ์พวกนั่นมันก็เก็บไว้ไม่อยู่
จนเผลอทำอะไรที่ไม่สมควรกระทำ
ฉันคงเป็นพี่สาวที่แย่มากสินะ U_U
"เอ้ย! โชคดีนะที่ฉันไม่ได้เป็นพี่ใคร วุ่นวายชะมัด "
"ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงโชคดีเหมือนกันที่เกิดเป็นลูกคนเดียว "
บลายธ์กับแชมเปญหันหน้าพูดกันเงียบๆ ก่อนจะเบี่ยงตามามองที่ฉัน
"รีบไปปฎิบัติหน้าที่พี่สาวที่ดีสิยะ มัวแต่ยืนเซ่อแบบนี้ ไอ้เสียงขลุ่ยมันแย่งนาริสของฉันไปฉันจะฆ่าแกสายขิม "
บลายธ์ขู่ ทำหน้าตาใสซื่อไร้เดียงสาเหมือนเด็กอนุบาลหวงพี่สาว
"ทำไม! เกิดหวงนาริสขึ้นมารึไงแก"
แชมเปญทักยิ้มๆ
"ก็ป๊าว! แค่ไม่ชอบใช้พี่ร่วมกับใคร ไปเอาน้องแกออกจากพี่ฉันเลย"
"เออ..ไปแล้ว "
ฉันว่าพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ เอาว่ะ!! อย่างน้อยฉันก็ควรจะกล่าวคำขอโทษ ฉันทำรุนแรงไปจริงๆ ก็โมโหหนิ
ฉันไม่รู้หรอกว่าเสียงขลุ่ยมันเป็นอะไร แต่ก่อนหน้านี้มันโทรหาฉันจนโทรศัพท์แทบจะระเบิดลงเดาไม่ยากว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับแผลบนหน้ามันแน่นอน ไหนจะอาการไม่อยากกลับบ้านมันเอง ให้เดาอีกก็ถูกอีกว่าทุกคนในบ้านยังไม่เห็นหน้าเละของมัน แต่ที่ฉันเดาไม่ถูกและไม่มีวันที่จะเดาถูกก็คือ มันทำไปทำไม
ก๊อกๆๆ!!
"มีอะไร" นาริสเปิดประตูห้องออกมาหน้าตาไม่รับแขกเท่าไหร่ มันคงโกรธแทนเสียงขลุ่ยละมั้ง
"ฉันขอคุยกับเสียงขลุ่ยหน่อย"
"ไม่ได้น้องนอนแล้ว "
"ขลุ่ยอยากคุยกับพี่สายขิมครับ"
เสียงขลุ่ยพูดขึ้นแทรกประโยคหลังของนาริสทันที ทำให้ยัยนั้นหันกลับไปทำสายตาดุๆนิดหน่อยก่อนจะยอมเดินออกไปจากห้องแล้วให้ฉันเข้าไปได้
เสียงขลุ่ยนั่นอยู่บนเตียงมองสบตาฉันไม่ละห่างไปไหน ทำเอาฉันสำนึกผิดไปเลยทีเดียวที่ตีมันไปตั้งหลายที
"เสียงขลุ่ย..พี่..ขะ..ขอ "
"ไม่ต้องขอโทษหรอกพี่ พี่ไม่ผิดหรอก ขลุ่ยผิดเองแหละที่ก่อเรื่องมาให้พี่ปวดหัว "
พูดแบบนี้เอาไม้หน้าสามตีหัวฉันให้แตกเลยดีกว่าเสียงขลุ่ย ยิ่งแกพูดฉันยิ่งกลายเป็นคนร้ายทำร้ายน้องตัวเองเข้าไปทุกที
"ขลุ่ยไม่เหลือใครแล้วพี่สายขิม ถ้าพี่ไม่ช่วยแม่เอาขลุ่ยตายแน่ๆ พี่ต้องช่วยขลุ่ยนะ..พี่ต้องช่วยขลุ่ย"
ไม่พูดป่าว เสียงขลุ่ยเขย่าร่างฉันเหมือนไวตามิลยิ่งเขย่ายิ่งอร่อย เอ้ย!ไม่ใช่แล้ว
"พอก่อน เอ่ยพอๆๆ แกบอกฉันก่อยสิว่าไปทำอะไรมา"
ฉันสะบัดมือมันออกเพราะเริ่มจะปวดหัวแล้ว
"พี่พูดแบบนี้แสดงว่าจะช่วยใช่มั้ย"
"พูดขนาดนี้แล้วไม่ช่วยมั้ง"
"สัญญานะ"
"เออสัญญา "
อะไรของมันทำไมต้องทำลึกลับซับซ้อนอะไรด้วยพูดซะทีสิ้
เสียงขลุ่ยยิ้มอย่างดีใจก่อนจะล่วงเอาจดหมายฉบับหนึ่งที่ยับยู๋ยี่ออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วส่งมันมาให้ฉัน
"อ๊ะ! แทนคำตอบทุกอย่าง"
"อะไรของแก "
ฉันว่าแล้วยื่นมือไปรับอย่างงงๆ
ก่อนจะเปิดอ่านทันที
"อะไรน๊ะ! จดหมายเชิญผู้ปกครองหรอ แกไปทำอะไรมาเนี่ย "
"เดี๋ยวไปถึงพี่ก็รู้เองแหละ ขลุ่ยง่วงแล้วนอนนะ "
เป็นคำตอบที่ฉันไม่ต้องการจะได้ยินเลย ถึงขั้นเชิญผู้ปกครองนี่มันไม่ธรรมดาแล้วนะ
"ไอ้ขลุ่ย!ลุกมาพูดกันให้รู้เรื่องนะ "
"ไม่เอา!บอกแล้วไงว่าง่วง อ่อเสื้อนักเรียนขลุ่ยกองไว้ตรงนั้นนะ เอาไปซักอบแล้วก็รีดให้ด้วย พน.ขลุ่ยต้อวไปรร.แต่เช้า"
โห้ยยย! ไอ้น้องบ้า ก่อเรื่องแล้วยังมาหน้ามาใช้ฉันอีกหรอเนี่ย
ฉันกัดฟันกรอดก่อนจะก้มเก็บเสื้อผ้ามันใส่ตะกร้า พลางก้มมองจดหมายเชิญผู้ปกครองอย่างเหนื่อยใจ จะเอายังไงดีละทีนี้