บทที่ 8
คนคุ้นเคยที่ไม่อยากเห็น
‘ปั่นหัวคนอื่นดีนัก โดนปั่นกลับบ้างเป็นไง?’
อย่าได้คิดนะว่าจูบเมื่อคืนมันแสนจะโรแมนติกและเร่าร้อน ความจริงคือไม่เลยสักนิดเพราะคำพูดร้ายกาจของเขาเรียกสติสัมปะชัญญะของฉันกลับมาจนหมดสิ้น ตาบ้านั้นจูบเพราะอยากจะสั่งสอนฉัน! แน่ล่ะเขาไม่ได้มีความพิศวาสในตัวฉันเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นฉันเองที่ดันเผลอใผลรู้สึกดีไปกับจูบนั่นคนเดียว! คิดแล้วก็น่าโมโหจริง ๆ กระทำของเขามันมีผลกับฉันมากกว่าที่ฉันกระทำเขาซะอีก ในหัวใจมันบีบรัดจนปวดไปหมด
แต่มนุษย์น้ำแข็งนั่นคงไม่รู้สึกอะไรเลย หลังจากเขาถอนริมฝีปากที่ร้อนระอุออกไปแล้ว ก็เผยรอยยิ้มเย็น ๆ ที่มุมปากเหมือนกับเป็นสัญญาณบอกว่าเขาไม่ได้หวั่นไหวเลยสักนิดเดียว ไม่เพียงเท่านั้นนะเขายังจับฉันที่กำลังมึนงงกับเหตุการณ์ลุกขึ้นจากที่นอนแล้วรีบผลักออกให้พ้นจากห้อง……
ช่วยบอกทีเถอะว่านี่มันสถานการณ์อะไร!!
ฉันพยายามคิดทบทวนดูอีกครั้งระหว่างที่กำลังแต่งตัวในช่วงเช้าก่อนจะออกไปเรียน ครุ่นคิดถึงความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นในใจ สัมผัสจากโลกันต์ทำให้ฉันร้อนแทบจะมอดไหม้ รสจูบที่แสนจะวาบหวาบยังคงตราตรึงอยู่จนอดที่จะเอานิ้วขึ้นมาแตะริมฝีปากไม่ได้ ความรู้สึกอุ่น ๆ ยังไม่ได้จางหายไปไหน ถ้าจูบแรกของฉันไม่ใช่โลกันต์…..ฉันจะรู้สึกอย่างนี้มั้ยนะ?!
ป่านนี้นายนั่นจะตื่นรึยังนะ?!
ฉันคิดพร้อมกับปิดประตูห้องลงเพราะได้เวลาที่จะต้องไปเรียนแล้ว แม้ว่าเมื่อคืนจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติแต่เช้าวันนี้ฉันก็ต้องปลุกเขาเหมือนเดิม ในเมื่อเขายังทำตัวปกติได้ทำไมคนอย่างฉันจะทำไม่ได้ล่ะ แต่ในขณะที่กำลังเดินไปที่ห้องของโลกันต์ฉันมองลงไปด้านล่างเห็นว่าเขากำลังนั่งรออยู่……ก็ดีเหมือนกันไม่ต้องเสียเวลาปลุก
“วันนี้ไปรถฉันแล้วกัน” เขาพูดพร้อมกับวางหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ลงบนโต๊ะ
ไม่รู้ว่าเพราะฉันนอนไม่พอหรือเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย วันนี้ฉันเห็นเขาเป็นผู้ชายที่ดูเท่ห์มาก ๆ ท่านั่งไขว้ห้างโชวขายาว ๆ กับท่าทางการอ่านหนังสือพิมพ์ของเขามันช่างดูดีน่ามองจนไม่อยากจะละสายตาไปเลย
เมื่อไหร่กันนะที่ฉันเริ่มมีความคิดประหลาด ๆ แบบนี้ เหมือนกับว่าฉันกำลังหลงอยู่ในวังวนอะไรสักอย่างที่เขาเป็นคนสร้างขึ้น ทุกอย่างที่เป็นโลกันต์มันช่างเพอร์เฟคไปหมด ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ต่อไปก็เท่ากับว่าฉันติดกับเขานะสิ….แทนที่ฉันจะเป็นคนคุมเกม กลับกลายเป็นฉันถูกคุมแทน มันไม่ใช่หรือเปล่าแพรลีน!!
ในหัวสมองนายโลกันต์คนเย็นชากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ สิ่งที่เขาทำมันคือการเอาคืนจริงหรอ?! หรือเขาแค่ฟอร์มไปงั้น ๆ การจูบใครสักคนมันเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้น? แม้ฉันเองจะเป็นพวกชอบยั่วยวนแต่ก็ไม่เคยปล่อยให้เกินเลยกันมากกว่ากอด ส่วนใหญ่เป็นฉันมากกว่าที่สัมผัสคนอื่นพอโดนสัมผัสกลับฉันจะถอยห่างออกมาทันที ไม่รู้สิแบบว่าการจะทำอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมันต้องรู้สึกดีต่อกัน……
หรือสำหรับตานั่นแล้วการจูบใครสักคนเป็นเรื่องธรรมดามาก?! เหมือนที่ยัยมารีนเคยบอกเดี๋ยวนี้คนไม่รู้จักกันยังจูบกันได้เลยถ้าต่างฝ่ายต่างพอใจ แต่ประเด็นคือเขาไม่ได้พอใจฉัน สิ่งที่ทำแค่ต้องการแกล้งให้ฉันหัวปั่นซึ่งเขาก็ทำสำเร็จ แต่ฉันไม่ยอมให้เขาเป็นผู้กระทำฝ่ายเดียวหรอกนะ!! เกมนี้ฉันเป็นคนสร้างขึ้นฉันก็ควรจะเป็นฝ่ายคุมเกมสิถึงนะถูก!!
คณะนิเทศศาสตร์
“ไม่ลงหรือไง?” เพราะฉันมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยตลอดทางจนไม่รู้ว่ามาถึงหน้าคณะแล้ว
“ลงสิ วันนี้นายเลิกกี่โมง?”
“ทำไม?” นอกจากน้ำเสียงจะเย็นชาแล้ว หน้าตาของเขาก็ไร้ความรู้สึกตามไปด้วย
“มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันสิ จะให้ฉันเดินกลับหรือไง นายอาสาเป็นคนขับรถนะอย่าลืม!!” ใช่! เขาเป็นคนบอกให้มารถเขาเอง ฉะนั้นตอนกลับฉันก็ต้องกลับรถเขาด้วยสิ ถามอะไรไม่คิด!!
“บ่ายสองโมง”
“โอเค ฉันไปนะ แต่ก่อนจะไป….”
จุ๊บ….
ฉันขยับตัวไปจูบแก้มเขาทีนึงเบา ๆ เพราะด้วยความที่เขาไม่ทันตั้งตัวฉันเลยเห็นแววตาที่วูบไหวเล็กน้อยอาจจะเพราะตกใจหรืออะไรสักอย่างแต่คงไม่ใช่เพราะรู้สึกอะไรกับฉันแน่ ตาน้ำแข็งนั่นมีหัวใจซะที่ไหน เขาหันมามองฉันด้วยสายตาขุ่นเคือง คิ้วนี่แทบจะขมวดปมได้อยู่แล้ว ไม่บ่อยนักที่เขาจะแสดงสีหน้าแบบอื่นนอกจากเรียบเฉย
หึ….สำหรับนายโลกันต์ต้องเล่นทีเผลอแบบนี้แหละ!
ฉันกระตุกยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะสะบัดผมที่ไดร์มาอย่างดีใส่หน้าพ่อคนเย็นชาก่อนจะเดินลงจากรถเก๋ ๆ สวย ๆ ถ้าการกระทำของฉันไม่สามารถทำให้เขาชอบได้ แต่อย่างน้อยการที่เขาโมโหจนนึกถึงแต่ฉันมันก็ไม่เลวเหมือนกันนะว่ามั้ย?!
หมับ!
แต่ยังไม่ทันที่ฉันเจะเปิดประตู โลกันต์ก็คว้าแขนกระชากฉันเข้าไปใกล้ ๆ สายตาว่างเปล่าที่จ้องมองมา มันทำให้ใจฉันกระตุกวาบ
“วิธีเอาคืนของเธอเนี่ย มันเด็กอนุบาลมากเลยนะ” อะไรน่ะว่าฉันเด็กหรอ!
ฉันหันมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างท้าทาย เพราะเราใกล้กันจนสัมผัสลมหายใจของกันและกันได้ ฉันจึงต้องพยายามซ่อนความหวั่นไหวเอาไว้ไม่ให้คนร้ายกาจตรงหน้าเห็น
จุ๊บแก้มกันมันคงเด็กเกินไปเขากำลังยั่วให้ฉันทำวิธีแบบผู้ใหญ่อยู่ใช่มั้ย?! สมองฉัประมวลภาพจูบที่แสนดูดดื่มนั่นขึ้นมา ความร้อนจากในร่างกายกำลังเดือดพล่านทั้งที่ในรถนั้นแอร์เย็นเฉียบจับใจ หากเขาหวังให้ฉันทำแบบนั้นละก็…….
ฉันเค่นยิ้มให้เขาก่อนจะเอียงหน้าเขาไปจนจมูกของเราสัมผัสกัน ฉันเหลือบตามองเขาก่อนที่ริมฝีปากจะประกบแนบชิดกัน
“ฉันไม่หลงกลนายหรอกนะ คนเจ้าเล่ห์!”
ฉันผลักเขาออกแล้วเดินลงจากรถด้วยท่าทีของผู้ชนะ แน่นอนว่าหากฉันจูบเขาก็เท่ากับว่าฉันเดินตามเกมที่นายนั่นวางเอาไว้ บอกแล้วไงฉันต้องเป็นฝ่ายคุมเกม เสียใจด้วยนะนายโลกันต์ที่แผนปั่นหัวของนายไม่ได้ผล!
“เม้าท์เลย ๆ ฉันเห็นนะยะ มากับใครรายงานด่วน”
ฉันเดินมานั่งที่ใต้ตึกคณะซึ่งมีเนเน่กับมารีนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ดูจากสีหน้าคนทั้งคู่แล้วบ่งบอกเลยว่าอยากสาระแนมากเสียจนทนไม่ไหวแล้ว
“อะไร จะให้เม้าท์เรื่องอะไรยะ”
“ตั้งแต่ไปอยู่กับว่าที่พี่หมอเนี่ย ดูชีวิตดี๊ดี หน้าตาแฮปปี้สุด ๆ ไปเลยนะหล่อน” แฮปปี้ตรงไหนยะ ตานั่นกวนประสาทจะตาย!
“ไงล่ะ พี่หมอเขาเสร็จแกรึยัง?” คำถามของมารีนทำเอาฉันสะอึก
“จะรีบไปไหนล่ะแก ยังไงเขาก็ไม่รอดมือฉันอยู่แล้วล่ะ”
“แสดงว่าแกอ่อยยับเลยดิ่ โอ๊ยย อยากเห็นหน้าพี่หมอตอนฟินจัง คงจะ….” หน้าตอนฟินหรอ ได้ข่าวว่ามีแต่หน้าเดียว หน้าตายน่ะ
“ที่บ้านนั่นก็ดีนะ มีพี่สาวโลกันต์ กับไอ้เด็กโมก รู้สึกอบอุ่นเหมือนเป็นครอบครัวเลยแกร๊”
“เฮ๊ย ๆ เด็กโมกอะไรยะ หล่อป่ะ ๆ ขาวตี๋น่า…มั้ยอ่ะเทอว์” ยัยเนเน่ส่อแววหื่นอีกแล้ว เรื่องเด็กผู้ชายนี่ไม่ได้เลยไวตลอด
“ให้ฉันไปเที่ยวบ้านแกหน่อยสิ นะ ๆๆๆๆ เย็นนี้เลยป่ะๆ ” มันจะไวไปมั้ยยะยัยเนเน่!
“แกนี่ก็รีบจัง เอาไว้ว่าง ๆ ก่อนละกัน ไป”
“นี่พวกแก รีบไปดีกว่ามั้ยได้เวลาเข้าเรียนแล้วนะ” มารีนเตือนทำให้ฉันก้มดูนาฬิกา นี่ก็ได้เวลาเข้าคลาสแล้วจริง ๆ ด้วย
“วันนี้อาจารย์ไม่มาหนิแก แต่เห็นว่ามีวิทยากรพิเศษมาละแก เป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์โรงแรมระดับ 5 ดาวเลยท่าจะหล่อแซ่บมากแน่ ๆ ”
“เข้าคลาสเดี๋ยวก็รู้ว่าหมูหรือจ่า”
“ทำอะไรยะหล่อน” เนเน่ถามขึ้นขณะที่พวกเรากำลังขึ้นบันไดไปยังชั้นเรียน
“ก็โบ๊ะแป้งไง เผื่อวิทยากรหล่อ”
“แหม ยัยแพรลีน แกเอาพี่หมอไปแล้วยังไม่พออีกหรอยะ ยัยโลภยัยเยอะ!!”
“อะไรเยอะ?” มารีนถามขึ้นอย่างสงสัย
“ก็ผู้ชายไงยะ แอร๊ยย ฮ่าๆๆ”
แปะ!
มารีนกับเนเน่พร้อมใจกับแทคมือ แหมที่เรื่องแบบนี้เข้าขากันดีเชียวนะ!!
คลาสเรียน
ตอนนี้ทั้งห้องเสียงดังระงมไปหมด โต๊ะถัดไปจากฉันไม่มากกำลังเม้าท์ถึงเรื่องวิทยากรที่จะมาบรรยายในคลาสนี้ ส่วนใหญ่บอกว่าหน้าตาดีเข้าขั้นนายแบบเลยล่ะ แต่ก็นะเขาเป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์นี่นา หน้าตาก็ต้องดีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
แต๊ก ๆๆ
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าของวิทยาการรูปหล่อกำลังเดินเข้ามาที่โพเดี่ยม เพื่อบรรยายในวันนี้ ร่างสูงประมาณ 180 ซมสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ทับด้วยสูทสีเทาสิ่งของที่อยู่บนตัวของเขานั้นแทบจะเป็นแบรนด์เนมทั้งหมด
“สวัสดีครับ ผมชินกร เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของโรงแรม TY ครับ”
เสียงฮือฮาเกิดขึ้นอีกครั้งหลังเขาแนะนำตัวเสร็จ เพื่อน ๆ นักศึกษาต่างพากันชื่นชมในใบหน้าที่หล่อเหลา ซึ่งแน่นอนว่าฉันจำมันได้ดี ดวงตาคมที่ดูอ่อนโยน จมูกโด่งเป็นสันแบบธรรมชาติ ริมฝีปากหนาสีชมพูอมแดง ผิวขาว ๆ ที่เคยสัมผัสฉัน…ทุกอย่างมันยังอัดแน่นอยู่ในความทรงจำ
ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร เพราะสมองของฉันอื้ออึงไปหมด เม็ดเหงื่อเริ่มผุดซึมออกมาบริเวณหน้าผากทั้งที่ภายในห้องแอร์แสนจะเย็นฉ่ำ
‘ใครจะไปชอบคนขี้เหร่แบบเธอได้ ฮ่าๆๆ’
คำพูดนั้นมันยังตามหลอกหลอนฉันอยู่เรื่อยมา ตอนนี้…วินาทีนี้เขาคนนั้นมาอยู่ตรงหน้า สายตาที่เขามองมาทำให้มือของฉันเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เหตุการณ์เลวร้ายมันฉายภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหัวใจของฉันเต้นรัวผิดปกติ ฉันคิดว่าตัวฉันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ไม่เลยเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งไอ้ความรู้สึกเก่า ๆ มันกลับมาทั้งหมด แพรลีนที่ตอนนี้ไม่เคยหลบตาใคร…กำลังก้มหน้านิ่งไม่ไหวติง….
“โอ๊ยย ฉันไม่อยากให้จบคลาสเลยอ่ะ คุณชินหล๊อหล่ออ ว่ามั้ยแก?”
“แก ยัยแพรลีน! เป็นอะไรยะนั่งหน้าซีดเลย ป่วยรึเปล่าเนี่ย…”
“….”
“แพรลีน…ยัยแพร…อิแพร!!”
“ห้ะ มะ มีอะไรหรอ?” เสียงดัง ๆ ของเนเน่ที่ตะคอกใส่หูฉันทำให้ได้สติอีกครั้ง
“ป่วยรึเปล่านี้ จบคลาสแล้วแกจะนั่งทำอะไรซากอะไรยะ”
“อ่อ อืมๆ ไปกันเถอะ เอ้อ แต่ว่าฉันต้องไปหาโลกันต์ที่คณะน่ะ งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะ”
ฉันรีบเก็บของด้วยมือที่สั่นเทาแล้วรีบเดินออกมาจากตึกโดยที่ไม่หันหลังกลับไปมองอีกเลยว่าเขาจะยังอยู่แถวนั้นหรือไม่ เพราะฉันไม่อยากจะเจอหน้าคนที่เคยทำร้ายฉันอย่างเลือดเย็นอีกแล้ว
ฉันกับชินกรเคยคบกันมาก่อนเมื่อสมัยที่เรียนมัธยม เขาเป็นรุ่นพี่ของฉันด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาและความสุภาพอ่อนโยนทำให้สาว ๆ ต่างค่อนโรงเรียนพากันกรี๊ดกร๊าด และฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยที่ไล่ตามเขาจนเราได้เป็นแฟนกัน….
คณะแพทย์ศาสตร์
“พี่หมอคะ ตรงนี้น้องนุ่นไม่เข้าใจเลยค่ะ” ยังไม่ทันจะเดินไปถึงโต๊ะดีฉันก็ได้ยินเสียงอ่อนเสียงหวานของยัยเม็ดเน่าที่กำลังอ่อยโลกันต์ของฉันอยู่
ไม่รู้ยัยชะนีบ้านี้จะตามหลอกหลอนฉันไปถึงไหนกัน ท่าทางเรียบร้อยของหล่อนทำให้ฉันหมั่นไส้อยากจะเอาเล็บไปข่วนหน้าให้ถลอก แค่เธอเสียโฉมน่ะมันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่เธอได้ทำกับฉันในอดีต!!
‘ใครแกล้งแพรแบบนี้น่ะ ยอมรับมานะ’ หญิงสาววัย 16 ปีตัวเล็กแต่ท่าทางเอาเรื่องกำลังจ้องเพื่อนในห้องเรียงคนเพื่อหาคนทำผิดในครั้งนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่มันก็มีผลต่อจิตใจของคนที่เธอเรียกว่า ‘เพื่อนสนิท’
‘ทำไมเงียบกันล่ะ กล้าทำ ทำไมถึงไม่กล้ายอมรับ แพรเขาไปทำอะไรให้พวกเธอหรอ ถึงต้องแกล้งเขาขนาดนี้’ ในขณะที่หญิงสาวเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อน ๆ ด้วยความโมโห ก็ได้มีมือเล็ก ๆ ที่กำลังสั่นเทามาฉุดรั้งไว้
‘ไม่เป็นไรหรอกนุ่น เดี๋ยวแพรเช็ดออก็นั่งได้แล้ว’ หญิงสาวผู้ผูกผมเปียกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าของเธอเช็ดเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยฝุ่นชอล์ก พร้อมกับดันขาแว่นที่กำลังจะเลื่อนหล่นให้เข้าที่เข้าทาง ‘เห็นมั้ย นั่งได้แล้ว’ เธอยิ้มกว้างให้กับเพื่อนผู้ปกป้องเธอเหมือนจะเป็นสัญญาณบอกว่า.…เธอไม่เป็นอะไร
‘ฉันสัญญานะต่อไปฉันจะไม่ให้ใครมาแกล้งแพรอีก’ หญิงสาวตัวเล็กที่ท่าทางกระฉับกระเฉงยิ้มให้กับเพื่อนเพื่อทำให้เธอมั่นใจว่า เขานี่แหละจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป
เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวผมเปียที่ดูท่าทางอ่อนแอก็ยิ้มกว้างออกมาเพราะหล่อนคือเพื่อนคนเดียวของเธอ เพื่อนที่เธอสนิทมากที่สุด และไว้ใจมากที่สุด
หมับ…
“ที่รักคะ รอนานมั้ย คิดถึงจังเลย” ฉันตรงเข้าไปเกาะเกี่ยวแขนโลกันต์โดยไม่ให้เขาตั้งตัว น้ำเสียงที่ออดอ้อนและท่าทางง้องแง้งของฉันทำให้เขาหันมามองด้วยสายตาที่ขุ่นเคือง ก่อนจะแกะมือฉันออกอย่างไม่ใยดี
เชอะ! ทำเล่นตัวเรื่องอะไรฉันจะยอมให้นายหักหน้าฉันต่อยัยนี่ไม่มีทางซะหรอก!!
“อ่าวสวัสดีจ้ะเม็ดนุ่น มาทำอะไรตรงหรอก?” เม็ดนุ่นที่นั่งอยู่อีกข้างของโลกันต์มองฉันอย่างท้าทาย
“อ๊อ ก็มาให้พี่หมอสอนหนังสือให้น่ะ”
“อุ๊ย ไม่ยักรู้นะว่านอกจากเป็นหมอแล้วที่รักยังเป็นอาจารย์ด้วยหรอคะ เก่งสุด ๆ อ่ะ” ฉันเอื้อมมือขึ้นไปหยิกแก้มเขาเบา ๆ เหมือนจะเอ็นดู แต่เปล่าหรอกเพราะฉันกำลังทำสงครามเย็นกับยัยเม็ดเน่านี่ต่างหาก
“เขาก็รู้กันทั้งคณะแพทย์นั่นแหละ ว่าพี่โลกันต์เก่งขนาดไหน ถ้าไม่ได้พี่โลกันต์การสอบที่ผ่านมาฉันคงได้คะแนนไม่ดีเท่านี้แน่ ๆ เลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” ยัยนี่ทำสายตาหวานซึ้งใส่เขาแบบยั่วยวน หึ่มม ตาโลกันต์นี่ก็ใช่ย่อยส่งยิ้มหวานกลับไปให้แบบที่ไม่เคยทำกับฉันมาก่อน!
ขึ้นสิคะแบบนี้!! อารมณ์มาเต็มแบบไม่ต้องบิลด์เลย!!
“โลกันต์เขาก็ใจดีแบบนี้แหละ โดยเฉพาะเวลาฝนตกฟ้าร้องนะ ชอบดึงฉันเข้าไปกอดบ่อย ๆ อุ๊ยตายจริง เธอคงยังไม่รู้สินะว่าฉันกับ พี่โลกันต์ของเธอ อยู่บ้านเดียวกัน….” โลกันต์ที่นั่งนิ่งมาตลอดหันมาถลึงตาใส่ฉันจนลูกตาแทบกระเด็นออกจากเบ้า เม็ดนุ่นก็มีปฏิกิริยาไม่แพ้กันหรอก เพราะหล่อนนั่งทำหน้าช็อคโลกไปแล้ว
แต่เวลาที่เรากำลังเป็นต่อมักจะมีอุปสรรค์เข้ามาเสมอ……
“แพรใช่มั้ย” เสียงทักทายที่คุ้นเคยชะโงกหน้ามามองฉันเพื่อความมั่นใจ “อ่า ใช่จริง ๆ ด้วยเมื่อกี้พี่ก็สังเกตอยู่นานแต่ก็ไม่แน่ใจเพราะเธอดู เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” พูดจบเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“อ่าวพี่ชิน มาได้ยังไงคะ” เป็นเสียงยัยเม็ดนุ่นที่เอ่ยทักขึ้น
“เอ่อ เม็ดนุ่น….เธอก็เรียนอยู่ที่นี่หรอ?”ชินกรมองหน้าฉันกับเม็ดนุ่นสลับกันไปมา แน่ละเพราะเขาก็ไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของเราสองคนเท่าไหร่นัก
“ใช่ค่ะ แล้วไปไงมาไงพี่ถึงมาที่นี่ได้คะ” ยัยบ้านี่ยังคงส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ่อพี่มาเป็นวิทยากรพิเศษในคลาสของแพรน่ะ” หลังพูดเสร็จเขาก็หันมามองที่ฉันแทน “พี่ดีใจนะที่เจอเราที่นี่ เธอดูสวย…เหอะ มันทำให้พี่ประหลาดใจมากเลย” เขาทำสายตาสนใจฉันอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งมาก
ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทำแต่เพียงก้มหน้าแล้วบีบมือตัวเองจนมันเริ่มแดงไปหมด โลกันต์เหลือบมามองเป็นระยะ ๆ คาดว่าเขาคงเห็นอาการผิดปกติของฉัน
“เดี๋ยวนี้แพรเขาฮอตนะคะ หนุ่ม ๆ ไม่เคยห่างตัวเลย” ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ สิ่งดี ๆ ในเรื่องของฉันไม่เคยหลุดจากปากยัยนี่หรอก
“ขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย เห็นที่เราต้องหาเวลาว่าง ๆ คุยกันซะแล้ว พี่ดีใจมากเลยนะที่ได้เจอแพรอีก”
ฉันอยากจะเอามือขึ้นมาอุดหูแล้วเดินหนีหายไปให้รู้แล้วรู้รอด โลกันต์นั่งฟังอย่างนิ่งเฉยโดยไม่ได้ปล่อยให้ชินกรกับเม็ดนุ่นสนทนากันเพียงสองคน
หากในยามปกติฉันคงตอบโต้อะไรไปแล้ว หากในยามปกติฉันคงไม่นั่งบ้าใบ้แบบนี้…..แต่สิ่งที่ชินกรทำมันฝังแน่อยู่ในสมองจนฉันไม่อยากจะปริปากพูดอะไรได้เลย ฉันรังเกียจเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยอะไรออกไป สิ่งที่ทำได้คือนั่งเกร็งตัวและจิกเล็บลงบนฝ่ามือตัวเองซ้ำ ๆ จนมันเจ็บและชาไปหมด
“งั้นเดี๋ยวเราสองคนขอตัวก่อนนะครับ” เป็นเสียงโลกันต์ที่พูดขึ้นพร้อมกับฉุดฉันให้ลุกขึ้นยืน เพราะเขาเห็นว่าฉันไม่ปกติและกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง จึงคิดที่จะพาฉันออกไปจากตรงนี้ ความอบอุ่นจากมือหนาแผ่ซ่านไปทั่วทำให้ฉันรู้สึกคลายความกังวลที่มีอยู่ได้บ้าง ฉันไม่ต่อต้านหรือขัดขืนใด ๆ ปล่อยให้เขานำพาไปที่รถเพราะเรี่ยวแรงที่มีอยู่มันน้อยนิดเหลือเกิน
ระหว่างทางกลับบ้านโลกันต์ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร เขาปล่อยให้ฉันนั่งจมอยู่กับตัวเองที่เรื่องในอดีตมันกำลังเวียนวนอยู่ในสมอง เรื่องราวบ้าบอที่ไม่อยากจำมันหวงคืนมาทั้งหมด คนที่ไม่อยากเจอและฉันไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้า ตอนนี้เขากลับมาอยู่ในหัวฉันอีกครั้ง ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปฉันก็เกลียดและกลัวผู้ชายที่นี้จับใจ