"จีมินเจอโซลเมทของจีมินแล้ว"
ประโยคเย็นวันนั้นที่ลูกชายบอกว่าตัวเองเจอโซลเมทแล้วยังคงดังชัดในโสตประสาทของจองกุก ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาเป็นวัน สัปดาห์ และท้ายที่สุดมันผ่านมานานหลายเดือน
นานมากพอที่เวลาจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาและโอเมก้าเริ่มเปลี่ยนไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เด็กแก่แดดนั่นคุยกับเขาน้อยลง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปาร์คจีมินไม่ได้ให้เขาคอยไปรับไปส่งอย่างเดิม บางวันเขารู้มาว่าเด็กนั่นมีคนมารับและมาส่งแทนคนรถที่บ้าน
จองกุกเดาว่าคนคนนั้นคงจะเป็นโซลเมทของจีมิน
ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร
ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ
คิดว่ามันง่ายเหรอกับการต้องทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเวลาเห็นคนที่เรารักเข้าใจเราผิดไปโดยที่เราอธิบายอะไรกับเขาไม่ได้
ใช่ เขารักจีมิน
ตอนที่ได้ยินคำถามกับน้ำเสียงสั่นๆของเด็กแก่แดดนั่นเขาอยากดึงตัวลูกชายมากอดแทบตายแล้วบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไง
แต่เขาเคยบอกเอาไว้เอง ถ้าหากวันนึงจีมินเจอโซลเมทหรืออยากมีชีวิตเป็นของตัวเองเขาจะไม่ห้าม
ถ้าการที่เขาบอกรักและอธิบายความรู้สึกของตัวเองแล้วมันจะยิ่งทำให้เด็กนั่นผูกตัวเองไว้กับเขา เขาขอเลือกให้จีมินเข้าใจผิดไปแบบนั้นเสียยังดีกว่า
จองกุกไม่อยากใช้วิธีสารภาพความรู้สึกตัวเองเพื่อรั้งจีมินเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว ยังไงเสียคนที่ได้ชื่อว่าโซลเมทก็คงจะดูแลและเข้าใจเด็กนั่นได้มากกว่าเขา
เด็กนั่นอายุ19 ในขณะที่เขากำลังจะ31 ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นความกดดันที่เขาต้องเจอจีมินรับมันไม่ได้แน่นอน
เขาถึงต้องปล่อยให้โอเมก้าไปใช้ชีวิตตัวเองอย่างที่มันควรจะเป็น
ในชีวิตจริงความลำบากมันไม่ได้โรแมนติกเหมือนในหนัง และเขาไม่ได้ต้องการให้ลูกชายตัวเองมาลำบากด้วย
นั่นคือเหตุผลที่เขาเลือกจะเงียบกับคำถามที่จีมินถามว่าเขาเคยรักตัวเองบ้างมั้ย
หากพูดไปแล้วมันจะทำให้การตัดสินใจของเด็กแก่แดดไขว้เขวแล้วไปจากเขาไม่ได้สักทีเขายอมอึดอัดเก็บมันไว้ในใจแบบนี้เสียดีกว่า
เกิดว่าพวกเขาไม่หลบซ่อนจีมินจะเจอทั้งสายตา และคำครหามากมายจากคนนอกที่มองเข้ามา ผู้คนมากมายจะชี้นิ้วมาที่โอเมก้าและต่อว่ากันเพียงเพราะความสนุกปาก สังคมของเด็กนั่นจะเปลี่ยนไปต่อให้ความจริงมันเป็นยังไง
เรื่องของพวกเขามันจะไม่ใช่แค่เรื่องคนสองคนอีกต่อไป นั่นคือเหตุผลที่จองกุกบอกเสมอว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามันเปิดเผยไม่ได้
ดีไม่ดีอนาคตของลูกชายเขาอาจจะถูกดับด้วยมือของเขาเองเพียงแค่ทุกคนรู้ว่าพวกเขารักกัน
ช่างน่าเสียดายที่เรื่องของคนสองคนต้องถูกตัดสินด้วยใครต่อใครที่เรียกตัวเองว่าคนในสังคม ตั้งตนเป็นศาลเตี้ยตัดสินคนอื่นว่าสิ่งไหนมันผิดถูก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"เข้ามา"
เสียงเปิดประพร้อมด้วยเสียงส้นสูงของรองเท้าเรียกให้สายตาเหนื่อยล้าจากการทำงานติดต่อกันมาหลายสัปดาห์มองผู้มาใหม่
"มีอะไร ทำไมไม่ต่อสายเข้ามา"
"คนที่ประธานเคยให้ตามหาตอนนี้ทางที่นั่นติดต่อกลับมาแล้วนะคะ ทางเขาพร้อมตลอด ถ้าท่านประธาน-"
"บอกพวกเขาว่าฉันจะเข้าไปบ่ายนี้"
-
"ที่นี่เปลี่ยนไปมากจนผมจำไม่ได้แล้วว่ามันเคยเป็นยังไง"
"คุณจองกุกเคยมาแค่ครั้งเดียวเองนี่คะ"
หญิงดูมีอายุสักหน่อยตอบอัลฟ่าหนุ่มพร้อมกับยิ้มและมองไปยังตึกหนึ่งตึกในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้
ชายหนุ่มมองนอกตัวตึกอย่างสำรวจก่อนเขาจะเดินนำหญิงที่เป็นผู้ดูแลที่นี่เข้าไปในนั้น ที่นี่คือที่ที่จีมินเคยอยู่เมื่อหลายสิบปีที่แล้วก่อนจะโดนพ่อและแม่ของเขาอุปการะมาดูแล
ปัจจุบันเขายังคงรับผิดชอบเด็กที่นี่อีกหลายคนและบริจาคเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่างๆ หากแต่เด็กคนอื่นถูกเลี้ยงให้โตที่นี่ ไม่ได้ถูกรับไปเลี้ยงอย่างจีมิน
เขาจำได้ลางๆว่าครั้งแรกที่เจอเด็กแก่แดดนั่นจีมินไม่ได้เป็นเด็กเรียบร้อยหรือเป็นเด็กตาดำๆทำหน้าบ๊องแบ๊วให้สงสารเหมือนในหนังดราม่านัก
แต่เด็กนั่นกำลังเข้าไปทะเลาะกับเพื่อนวัยเดียวกันเพื่อแย่งไอติมแท่งนึง เขายืนมองอยู่นานโดยที่ไม่ได้เข้าไปห้ามเพราะจองกุกอยากรู้ว่าเด็กทั้ง2จะทำอย่างไรต่อ
สุดท้ายแล้วการยื้อแย่งมันทำให่ไอติมตกพื้น และทั้งสองร้องไห้จ้าออกมา พอเขาเดินเข้าไปเพื่อหวังจะปลอบดวงตาใสสดที่แสดงความตัดพ้อช้อนมองเขาอย่างไม่เกรงกลัวแถมยังเบะปากเล็กๆนั่นใส่เขาอีกด้วย
พอนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นใบหน้าที่มักไม่แสดงสีหน้าใดๆกลับยิ้มออกมา ไม่ว่าผ่านไปกี่ปีปาร์คจีมินก็ยังคงเป็นเด็กขี้เอาแต่ใจเหมือนเดิมสินะ
น่าเสียดายที่สายตาตัดพ้อสมัยเด็กของปาร์คจีมินมันช่างเหมือนกับสายตาในปัจจุบันที่โอเมก้ามักใช้มองเขา
บางทีเขาอาจจะถูกเกลียดไปแล้วก็ได้
"ดิฉันนึกว่าคุณจะพาจีมินมาด้วย ตั้งแต่คุณหญิงท่านเสียจีมินก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย เขาสบายดีใช่มั้ยคะ ?"
"สบายดีครับ เขากำลังจะขึ้นปี2แล้ว"
"อายุเท่ากันกับเด็กคนนั้นเลยสินะคะ"
"แล้วเขาเป็นยังไง ผมอ่านประวัติเขาที่ทางบ้านส่งมาให้บ้างแล้ว แต่อยากฟังจากคุณที่ดูแลเขามามากกว่า"
"แกเป็นเด็กเรียบร้อยค่ะ พูดน้อยสักหน่อยแต่เข้ากับพี่น้องได้ การเรียนถือว่าอยู่ในระดับดี ตอนนี้แกกำลังจะขึ้นปี2 เลือกคณะบริหารธุรกิจ ฉันคิดว่าแกคงอยากช่วยแบ่งเบาภาระของผู้พระคุณ...ส่วนเรื่องหอพักฉันจัดให้อยู่ใกล้มหาลัยกับเด็กรุ่นเดียวกันที่นี่ที่โตมาด้วยกัน"
"ฟังดูเป็นเด็กที่ใช้ได้นะ"
ฝ่ามือหนึ่งข้างของเขาล้วงไปเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงระหว่างเดินสำรวจภายในตัวตึก ที่นี่แบ่งแยกตึกอาศัยตามอายุของเด็กๆเพื่อลดความวุ่นวาย
และตึกนี้เป็นของเด็กที่โตมาสักหน่อยจึงไม่ได้โหวกเหวกโวยวายเสียงดังเท่าตึกอื่นๆมากนัก
"คุณจองกุกอยากเจอแกเลยหรือเปล่าคะ ?"
"ยังหรอก ไม่ใช่ตอนนี้"
-
ใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์จากผู้เป็นใหญ่ในบ้านต่างทำให้คนงานมากมายก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองตั้งแต่จอนจองกุกก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน
เขาไม่ได้พูดอะไรนักเพราะไม่อยากจะเหนื่อยมากไปกว่านี้ อัลฟ่าเดินขึ้นตรงไปยังห้องตัวเองเพื่อชำระร่างกายไล่ความเหนื่อยทันที
หลังจากอาบน้ำชายหนุ่มกะว่าจะไปนั่งอ่านเอกสารในห้องทำงานรอลูกชายกลับบ้านและทานข้าวเย็น
ดูน่าอึดอัดใจ แต่ในเมื่ออยู่บ้านเดียวกันยังไงซะพวกเขาก็ต้องเห็นหน้าและพูดคุยกัน นั่นมันคือสิ่งที่พ่อกับลูกควรทำมานานแล้ว
เสียงหยดน้ำที่ดังกระทบพื้นกระเบื้องกำลังล้างความคิดมากมายในหัวอัลฟ่า หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาโหมงานที่บริษัทและเอากลับมาทำที่บ้านด้วย
จองกุกกำลังทำให้สมองตัวเองไม่ว่างไปคิดถึงคำพูดจีมินที่บอกว่าอยากกลับไปเป็นแค่พ่อกับลูก
มันใช้ได้ในช่วงแรก หากพอเขาไม่ได้จับงานเขาก็ต้องหวนคิดถึงเรื่องของลูกชายอยู่ดี บางทีเอาจจะต้องเคลียร์งานแล้วหาเวลาไปผ่อนคลายเสียบ้าง
เขาไม่ใช่เด็กๆที่ผิดหวังกับเรื่องรักๆใคร่ๆแล้วไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือร้องไห้ฟูมฟายแบบนั้น
เขาไม่ได้ตัวคนเดียว จองกุกมีหน้าที่ภาระมากมายต้องรับผิดชอบ ทั้งคนในบ้านและอีกหลายร้อยชีวิตที่บริษัท ต่อให้คิดมากยังไงสิ่งที่อัลฟ่าต้องทำให้ได้คือมีสติและความรับผิดชอบ
เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ถูกแต่งแต้มด้วยหยดน้ำยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าก่อนเขาจะถอนหายใจออกมาเมื่อพบว่าตัวเองเปิดผิดฝั่ง
เมื่อก่อนตู้นี้มันมีแค่เสื้อผ้าของเขา แต่พอก่อนหน้าที่เด็กแก่แดดนั่นมาอยู่ด้วยเขาต้องทำการเปลี่ยนฝั่งเสื้อผ้า
เสื้อผ้าของเขาอยู่ฝั่งขวา
ส่วนฝั่งซ้ายนั้นเป็นเสื้อผ้าของจีมิน
ชายหนุ่มเผลอยกมือขึ้นลูบชุดนอนลายหมีสีฟ้าที่มันหมองเพราะความเก่าหากแต่เด็กแก่แดดนั่นไม่ยอมทิ้งหรือใส่ตัวอื่นเพียงเพราะเหตุผลที่ว่า ย่าเจ้าตัวซื้อชุดนอนชุดนี้ให้
กลิ่นจางๆของโอเมก้าที่เคยกลบอยู่ทั่วห้องเริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา เขาไม่รู้ว่าครั้งล่าสุดที่เห็นเด็กนั่นอยู่ในห้องนี้คือเมื่อไหร่
แล้วเขาต้องอยู่กับสิ่งของที่เป็นตัวแทนเด็กนั่นอีกนานแค่ไหน
ทั้งแปรงสีฟันที่ยังอยู่ในห้องน้ำ
ของใช้จุกจิกของเด็กนั่น
และเสื้อผ้าส่วนนึงที่ทิ้งไว้ในห้องนี้
ตลกดีในขณะที่เขาจมอยู่กับสิ่งเก่าๆแต่เด็กนั่นกำลังได้พบเจอผู้คนใหม่ๆรอบตัว มันก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้ว่าโอเมก้าคงเลิกร้องไห้เพราะเขาแล้ว
-
"คุณท่าน จะให้ตั้งโต๊ะเลยมั้ยคะ"
สาวใช้ในบ้านถามอัลฟ่าที่เดินออกมาจากห้องนอนตัวเองเพื่อเตรียมเอาอาหารค่ำขึ้นโต๊ะอาหาร
"ยังหรอก ถ้าเด็กนั่นกลับมาค่อยตั้งโต๊ะแล้วมาตามฉันห้องทำงานแล้วกัน"
"วันนี้คุณหนูสั่งไว้ว่าจะไปทานข้าวเย็นกับเพื่อนค่ะ"
ผู้มีศักดิ์ใหญ่สุดในบ้านเงียบไปครู่นึงก่อนใบหน้าคมคายจะพยักไปให้สาวใช้ของบ้านเพื่อให้เธอตั้งโต๊ะอาหารค่ำ
เขาไม่รู้เพราะลูกชายไม่ได้โทรบอก คงจะโทรบอกนมของตัวเองแทนโทรบอกเขาสินะ
เด็กนั่นกำลังตีตัวออกห่างเขาไม่ให้ตัวเองเจ็บ
ส่วนเขาก็กำลังผลักเด็กนั่นออกไปไม่ให้ตัวเองทำร้ายความรู้สึกที่โอเมก้ามากไปกว่านี้
02.27
ช่วงเวลาดึกสงัดที่ทุกคนต่างเข้านอน ภายในครัวของบ้านหลังใหญ่มีเงาอัลฟ่าที่กำลังรินบรั่นดีลงแก้วตัวเองอยู่เงียบๆ
จอนจองกุกใช้เวลาทั้งหมดหลังทานอาหารค่ำเสร็จจัดการกับงานมากมายของตัวเองจนเวลาล่วงเลยมาถึงป่านนี้
เขาตั้งใจจะดื่มเครื่องดื่มสักแก้วและขึ้นไปนอนพักเสียที แต่เสียงเปียโนที่ดังออกมาจากห้องหนึ่งห้องภายในบ้านกำลังเปลี่ยนความคิดของชายหนุ่ม
ขาสองข้างของจอนจองกุกก้าวตามเสียงเปียโนมาจนถึงต้นตอของเสียงที่เกิดจากคนที่กำลังนั่งเล่นมันอยู่
คนอายุมากกว่ายืนมองลูกชายที่กำลังตั้งใจนั่งบรรเลงเพลงอยู่ในมุมมืดที่หน้าห้อง เขาเดาว่าจีมินคงยังไม่รู้ตัวว่าเขายืนอยู่ตรงนี้
รสชาติเฝื่อนของแอลกอฮอล์ในมือแผ่ไปทั่วลิ้นทันทีที่จองกุกยกมันขึ้นมาดื่ม หากเป็นปกติเขาคงเดินเข้าไป
พึ่งรู้เหมือนกันว่าการเป็นพ่อลูกกันจริงๆมันน่าอึดอัดขนาดนี้
"จีมินเล่นเก่งมั้ยคุณพ่อ"
"อืม เก่ง"
ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเอ่ยถามเขาแบบนั้น แต่จีมินกลับไม่ได้หันมามองจองกุก เด็กนั่นเอาแต่มองไปด้านหน้าของตัวเองและปล่อยให้ทั้งห้องมีเพียงเสียงโน๊ตจากเปียโนหลังใหญ่
"จีมินมีเรื่องอยากพูดกับคุณพ่อ"
"เรื่องอะไร"
เสียงเพลงที่เคยบรรเลงกลบความเงียบหยุดไป โอเมก้าค่อยๆผินหน้าไปมองคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง นับว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่พวกเขาเลือกจะมองหน้าและคุยกันอย่างจริงจังแบบนี้
"จีมินอยากย้ายไปอยู่หอ"
"ทำไม ?"
"จีมินอึดอัด อึดอัดที่ต้องเห็นคุณพ่อในความรู้สึกที่มันไม่เหมือนเดิม"
"ไม่"
"..."
"อย่าเข้าใจผิด ฉันไมได้อยากรั้งหรือขัดความต้องการเธอหรอก แต่ย่าเธอเขาก็บอกเอาไว้แล้วว่าเธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรเองจนกว่าอายุจะถึง20"
อัลฟ่าแทบไม่ได้มองใบหน้าผิดหวังนั้นตอนตอบออกไป จองกุกหันหลังและก้าวเท้าออกมาจากบริเวณนั้น
แต่แรงกอดจากคนด้านหลังที่ทำเอาเขาเกือบเซมันกลับทำลายความตั้งใจของชายหนุ่มจนเขาไม่อยากก้าวต่อเสียด้วยซ้ำ
"ถ้าเราไม่ใช่พ่อลูกกันคุณพ่อจะรักจีมินหรือเปล่า"
"..."
คนอายุมากกว่าค่อยๆแกะลำแขนที่กอดเอวตัวเองไว้ เขาหมุนตัวเพื่อหันไปมองหน้าลูกชายก่อนจะพบว่าใบหน้านั้นถูกอาบด้วยน้ำตาเพราะเขาอีกแล้ว
ปลายนิ้วโป้งถูกยื่นไปปาดน้ำตาอุ่นๆนั้นออกจากใบหน้าโอเมก้า จองกุกเลือกที่จะใช้ความเงียบตัดปัญหาอีกครั้ง
เขาไม่อยากโกหกว่าตัวเองไม่รักเด็กนี่
แต่เขาก็ไม่อยากพูดให้ความหวังจีมินไปมากกว่านี้
โลกของเขากับจีมินมันไม่เหมือนกัน เขาไม่เข้าใจความคิดของเด็ก19ที่เรียบง่าย ไม่สนใจใครและเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้
เช่นเดียวกับที่จีมินไม่เข้าใจความคิดของคนอายุ30แบบเขาว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่างตามใจตัวเองได้ในโลกความเป็นจริง
"ดึกแล้ว เธอควรขึ้นไปนอนพักได้แล้ว"
"อย่าหันหลังให้จีมิน"
เสียงสั่นเครือเอ่ยออกมายามที่ชายหนุ่มหันหลังกลับอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงสะอื้นดังตามหลังตัวเองอย่างน่าสงสาร
ถ้าเขายอมหันหลังไปมันจะเป็นการปลอบหรือทำร้ายลูกชายมากกว่าเดิมกันแน่นะ ?
สุดท้ายแล้วอัลฟ่าเลือกที่จะหันหลังให้กับคำขอร้องนั้นและเสียงร้องไห้ที่ยังคงดังท่ามกลางความเงียบ
ไม่ร้องไห้ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด
ไม่มีน้ำตาไม่ได้แปลว่าไม่เสียใจ
ไม่พูดอะไรไม่ได้แปลว่าเขาไม่อยากจะพูด
คำพูดของเขามีเป็นร้อยคำพันคำ แต่หากพูดไปแล้วมันจะทำให้เด็กแก่แดดนั่นไม่ยอมไปจากเขาเพื่อเจอคนที่เหมาะและเกิดมาเพื่อตัวเองเขาขอเลือกที่จะเงียบแบบนี้ดีกว่า
เข้มแข็งมาตลอดไม่ได้แปลว่าอ่อนแอไม่เป็น
ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีน้ำตา
คนที่เลือกหันหลังมันเจ็บไม่แพ้คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรอก
ต่อให้เขากับจีมินไม่ใช่พ่อลูกกันที่ตรงนั้นก็ไม่ใช่ของเขา จีมินมีคนที่เกิดมาเพื่อตัวเองอยู่แล้ว และคนคนนั้นก็เกิดมาเพื่อจีมิน
สุดท้ายพยายามให้ตายจอนจองกุกก็ไม่ใช่คนคนนั้นยังไงล่ะ
_____
TALK TALK
ไหนใครบอกว่าคุณพ่อใจร้ายไม่รักน้องคะ5555555555555555555
อยากให้เข้าใจว่าการตัดสินใจแต่ละอย่างของคนอายุ30บางทีมันต้องคำนึงถึงปัจจัยอย่างอื่น นี่คือความแตกต่างของการมองโลกระหว่างคุณพ่อกับน้อง โลกของคนอายุ30กับเด็ก19มันต่างกันเนอะ
ตอนที่แล้วคอมเมนท์ปาไป90คอมเมนท์ กำลังใจอีก240 โคตรชื่นใจ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย กำลังใจเพิ่มขึ้นมากๆ ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านและคอมเมนท์หรือกดให้กำลังใจนะคะ มันมีค่ากับคนเขียนมากจริงๆ
ปล. เรื่องการทำเล่มหนังสือยอดสามารถทำได้นะคะ เดี๋ยวเราขอเวลาจัดหน้าและทำหน้าปกจะมาลงฟอร์มสั่งจอง+โอนเงินให้ค่ะ
TAG #ลูกเลี้ยงจีมิน