ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างเราหลังจากที่ผมเรียกชื่อเขาออกไปทำให้บรรยากาศดูอึดอัด เราต่างจ้องหน้ากันอย่างอึ้งๆ
ไม่มีใครเป็นฝ่ายพูดอะไรออกมาก่อน เราได้แต่ยืนจ้องตากันเงียบๆ
การเผชิญหน้ากันในที่ที่มีแต่เราเพียงลำพัง ไม่ได้อยู่ในหัวของผมมาก่อน และผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น
ผมเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ทำไมเวลาแบบนี้ถึงไม่มีใครสักคนเดินผ่านมาเลยนะ
ผมเลื่อนสายตาลงมองบุหรี่ที่เพิ่งถูกจุดในมือของเขา
"อย่าสูบเยอะนักละ"
ผมพูดแค่นั้นแล้วตั้งใจจะเดินผ่านเขาเพื่อกลับเข้าไปในร้าน
แต่ยังไม่ทันที่มือของผมจะได้ผลักประตูกระจกเข้าไป เสียงจากด้านหลังก็ตรึงขาผมไว้กับที่ ..
"เอ่อ .. นาย ...สบายดีนะ?"
ตัวผมรู้สึกชาวาบ ตรงข้ามกับหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ผมค่อยๆหันหน้าไปหาเขา
"ก็สบายดี"
ผมหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง
"แล้วนายล่ะ?"
ผมยิงคำถามเดียวกันกลับไป ผมไม่มั่นใจว่าที่เขาเรียกผมไว้ เพราะอยากจะคุยต่อรึเปล่า แต่ในเมื่อเขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะหลีกเลี่ยงอะไรผม ผมก็จะขอคิดเข้าข้างตัวเองว่าอย่างงั้นก็แล้วกัน
"ก็โอเค .. "
เขาตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก ยิ่งเมื่อผมยืนจ้องหน้าเขาอยู่แบบนี้ ดวงตากลมโตก็เลี่ยงที่จะมองมาที่ผมตรงๆ
"เอ้อ! นายยังเล่นยิวยิตสูอยู่นี่ งั้นฉัน .."
"ไม่เป็นไรหรอก แค่นิดหน่อย ฉันสบายมาก"
ผมรีบเอ่ยห้ามเขาไว้ก่อนที่เขาจะดับบุหรี่ที่เพิ่งจุดในมือทิ้ง แต่นอกเหนือจากความตกใจแล้ว เสี้ยววินาทีผมรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองจะพองโตขึ้นมา
เขายังจำรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับตัวผมได้ ...
"นายยังจำได้อยู่เหรอ?"
ผมเผลอยกยิ้มขึ้นมุมปาก รู้สึกดีใจจนแทบซ่อนอาการไว้ไม่มิด ลืมเรื่องที่เราเพิกเฉยต่อกันภายในร้านจนหมดสิ้น
โจวโจวพยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อ
"ฉันเกือบเลิกมันได้เพราะนาย .. ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ"
คำพูดของเขาทำให้ผมนึกไปถึงวันที่ผมตัดสินใจบอกเขาออกไปตรงๆ ว่าผมขอให้เขาไม่สูบบุหรี่ แค่เฉพาะเวลาที่เราอยู่ด้วยกันก็ได้
ผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร ความจริงแล้วช่วงขึ้นม.ปลายแรกๆผมเองก็สูบบ้างเป็นครั้งคราว
แต่เมื่อรุ่นพี่ที่ชมรมบอกว่า ถ้าอยากจะไปไกลทางด้านยิวยิตสู ผมต้องหยุดเพราะมันส่งผลต่อปอดของผม มันจะทำให้ความจุของลมในปอดของผมลดลงแล้วจะเล่นกีฬานี้ลำบาก ผมก็เลยหยุดสูบในทันที
แต่ถ้าคนใกล้ตัวผมกลับมาสูบซะเอง มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นโจวโจวสูบบุหรี่ต่อหน้าผมอีกเลย
เพิ่งมาเห็นล่าสุดก็ตอนนี้ล่ะ ผมไม่ได้ถามว่าเขากลับมาสูบเพราะอะไร แต่อยู่ๆเจ้าตัวก็พูดออกมาเอง
"ตอนแรกฉันคิดว่าตัวเองคงเลิกได้แล้ว แต่เอาจริงๆพอไปอยู่มหาลัย เพื่อนในกลุ่มสูบกันจัดมาก นานวันไปฉันเลยทนไม่ไหว แล้วก็เป็นแบบนี้แหละ"
เขายิ้มแหยๆพร้อมไหวไหล่เหมือนจะสื่อออกมาว่า 'มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ'
ผมรู้สึกว่าบรรยากาศความอึดอัดของเราเริ่มเบาบางลง น่าแปลกที่จู่ๆเราก็มายืนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันสองคนที่หน้าห้องน้ำ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราแทบไม่ได้มองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ
ถ้าให้ผมเดา... อาจจะเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่กล้าที่จะเข้าหากันมากกว่า
เราคุยกันไปเรื่อยๆ ราวกับเหมือนเป็นแค่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ไม่มีใครพูดถึงประเด็นอ่อนไหวเพราะคงไม่อยากให้บรรยากาศที่เริ่มดีต้องกร่อย
ซึ่งผมก็โอเคที่มันจะเป็นแบบนี้ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมได้มีโอกาสคุยกับเขาบ้าง
จนกระทั่งบุหรี่ของเขาหมดลง โจวโจวทิ้งก้นบุหรี่ที่ไฟหมอดแล้วลงสู่ถังขยะข้างตัว
ผมเองก็เตรียมจะหันหลังกลับเข้าไปในร้านหลังจากออกมานาน
"จิ่งอวี๋..."
ภาพเหตุการณ์เดิมเมื่อหลายนาทีก่อนกลับมาอีกครั้ง โจวโจวเรียกผมไว้ก่อนที่ตัวผมจะได้เปิดประตูเข้าไปอีกแล้ว
ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม นั่นทำให้เขาเม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆคลายออก
"ฉัน .. ไม่รู้ว่าฉันจะขอมากไปรึเปล่า แต่อย่างน้อย ... ฉันขอให้เราเป็นเพื่อนกันได้มั้ย ?"
ผมนิ่งเงียบเมื่อได้ฟังเขาพูดจนจบ
ไม่รู้ว่าควรตอบเขาไปยังไงดี
คำว่า'เพื่อน'ของเรามันจบลงไปตั้งแต่ที่ผมรู้ตัวว่าผมรักเขาแล้ว ผมไม่เคยมองเขาว่าเป็นเพื่อนได้อีกเลย
แต่ครั้นผมจะไม่ตอบ ดวงตากลมโตที่มองมาอย่างคาดหวังก็บีบคั้นผมซะเหลือเกิน
ผมเลยหาคำพูดกึ่งยอมรับกึ่งเลี่ยงตอบไปดีกว่า
"มีอะไรให้ช่วยก็ติดต่อฉันมาแล้วกัน"
ผมพูดแค่นั้นแล้วจึงเดินจากมา แต่หางตาผมแอบเหลือบไปเห็นตอนที่รอยยิ้มบางๆปรากฎบนหน้าของเขาตอนที่ผมหมุนตัวเดินกลับเข้าร้านพอดี
ผมไม่อยากยอมรับเลยว่า ... เขายิ้มแบบนั้นมันน่ารักชะมัด
แล้วอย่างนี้จะให้ผมเป็นเพื่อนเขาได้ยังไง ?
ผมกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม เสี่ยวมู่รีบถามผมขึ้นมาทันที
"หายไปไหนโคตรนานเลยวะ ฉันคิดว่านายตกส้วมตายไปแล้ว"
"ตายแล้วฉันจะยังมานั่งอยู่ตรงนี้ได้รึไง"
"ไม่ต้องมาเฉไฉ นายไปทำอะไรมาใช่มั้ย ? มีเรื่องดีๆอะไรก็บอกกันมั่งสิวะ"
"เรื่องดีๆ ? ก็ไม่มีอะไรนี่"
"ไม่มีแล้วหวงจิ่งอวี๋ที่นั่งหน้าเป็นตูดตั้งแต่ต้นงาน ไหงตอนนี้ถึงเดินอมยิ้มมาล่ะ ห้ะ?"
เสี่ยวมู่หรี่ตาลงอย่างต้องการจะจับผิด แต่ผมก็อาศัยความมึน ทำหน้าตีเนียนไป สายตาของผมหยุดอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง มองคนต้นเหตุที่ทำให้ผมกลับมายิ้มได้ ผมยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยตอบ...
"ไม่มีอะไรหรอก"
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเทอมที่สองของม.ปลายปีสุดท้าย...
พวกผมที่เพิ่งผ่านวันหยุดพักผ่อนหลังจากสอบปลายภาคเทอมแรกไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีงานนิทรรศการประจำปีของโรงเรียนที่จะได้ทำเป็นครั้งสุดท้ายเข้ามาทันที
งานนี้เป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว ในวันงานโรงเรียนจะเปิดให้คนภายนอกสามารถเข้ามาชมนิทรรศการในโรงเรียนในช่วงกลางวัน โดยมีเด็กๆในโรงเรียนเป็นคนเปิดซุ้มต่างๆมากมายทั้งมีให้เล่นเกม ขายของและซุ้มของกิน
ส่วนงานในช่วงกลางคืนจะเป็นงานปิด ให้นักเรียนในโรงเรียนได้ฉลองผ่อนคลายกันหลังจากทำงานมาทั้งวัน โดยจะมีเวทีคอนเสิร์ตให้นักเรียนที่รักในเสียงดนตรีได้มีโอกาสแสดงฝีมือกันเต็มที่
เพื่อนคนอื่นต่างดูตื่นเต้นที่จะได้ทำงานนี้ส่งท้ายชีวิตมัธยม ต่างจากผมที่ไม่ยักกะรู้สึกอยากจะทำอะไร
อย่างเช่นตอนนี้ ผมก็ได้แต่นั่งตาปรือ อ้าปากหาวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งฟังหัวหน้าห้องกำลังแจกแจงงานที่ทุกคนต้องทำ
ผมได้แต่ขอให้หัวหน้าพูดจบเร็วๆ เผื่อว่าผมจะได้มีเวลานอนสักงีบก่อนที่อาจารย์คาบต่อไปจะเข้ามา
"ตอนนี้ฝ่ายอาหาร ทีมพนักงานเสิร์ฟและรับแขก กับทีมนักแสดงครบแล้ว มีใครที่ยังไม่มีหน้าที่อีกมั้ย ?"
หัวหน้าห้องหน้าติ๋มเอ่ยถาม นั่นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์และยกมือขึ้น โดยไม่ลืมที่จะสะกิดเรียกเสี่ยวมู่ที่นั่งหลับอยู่ข้างๆให้ตื่นมายกมือด้วย
"ส่วนมากเหลือแต่ผู้ชายนะ งั้นฉันขอให้คนที่เหลือเป็นคนจัดการเรื่องฉากแล้วก็พวกอุปกรณ์แล้วกันนะ ตกลงตามนี้
งานนี้งานสุดท้ายแล้วเพื่อนๆ ฉันอยากให้ทุกคนตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุดนะ ฉันเองก็จะตั้งใจ ยังไงก็ฝากทุกคนด้วย วันนี้เลิกประชุมแค่นี้
อ้อ! ฝ่ายอุปกรณ์เริ่มทำวันนี้ได้เลยนะ ฉันซื้อแผ่นไม้ที่จะทำฉากมาแล้ว อยู่ที่โรงยิม เลิกเรียนแล้วค่อยไปก็ได้"
จื่อเยี่ยนพูดเสร็จแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเอง นั่นเป็นสัญญาณให้ผมนอนได้
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เสี่ยวมู่ก็ตบไหล่ผมสองป้าบพร้อมเอ่ยถาม
"เฮ้ยๆ นายจะไปทำฉากตอนเย็นมั้ยวะ ?"
"เย็นนี้เหรอ ? ฉันไม่ว่างว่ะ มีซ้อม"
"ฉันแม่งโคตรขี้เกียจไปทำเลย หนีไปซ้อมกับนายดีมั้ยเนี่ย"
"ถ้าคิดว่าจะผ่านด่านหัวหน้าชมรมเข้าไปได้ก็เอาเลย"
"วันนี้หมอนั่นอยู่เรอะ เหอะ! ชมรมนายนี่เรื่องมากชะมัด"
เสี่ยวมู่บ่นพร้อมกับยีหัวตัวเองอย่างเซ็งๆ เพราะตราบใดที่หัวหน้าชมรมยิวยิตสูอยู่ คนนอกจะสามารถเข้าไปในยิมได้ยากมาก
ความจริงก็ไม่ได้ถึงกับห้ามคนนอกชมรมเข้าหรอก เข้าไปน่ะเข้าได้
แต่ทุกคนที่เข้าไปต้องเข้าไปฝึกเท่านั้น ถ้าใครจะเข้าไปแค่นั่งเล่นๆฆ่าเวลานั้นคิดผิดแล้ว อาจจะโดนจับทุ่มแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้
ที่ต้องมีกฎแบบนี้ออกมา เพราะหัวหน้าชมรมคนปัจจุบันค่อนข้างเข้มงวด ชอบความเป็นระเบียบ และอีกอย่างหนึ่งมันก็เป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวของชมรม ไม่ให้มีคนนอกมาเพ่นพ่านมากเกินไป
ก่อนหน้านี้ที่ชมรมยังปล่อยให้คนนอกเข้าได้ตามปกติ ก็มีพวกชอบเล่นพิเรนท์เข้ามาเล่นจนทำให้อุปกรณ์ฝึกซ้อมพังไปหลายชิ้น
ไหนจะเบาะรองที่ถูกกรีดจนขาด ลำบากให้หัวหน้าชมรมคนก่อนแบกหน้าไปของบซื้ออุปกรณ์ใหม่จากอาจารย์อีก
เพราะฉะนั้นวิธีออกกฎนี้จึงดีสุดแล้ว คนธรรมดาที่ไหนจะอยากเดินเข้ามาโดนฟัดจนเกือบตายกันล่ะครับ ใครๆก็รู้ว่าการฝึกยิวยิตสูมันโหดขนาดไหน จริงมั้ยครับ ?
ผมนั่งเรียนด้วยสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นไปตลอดทั้งวัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของผมอยู่แล้ว
จนกระทั่งเสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น ผมจึงรีบเก็บของเตรียมไปห้องชมรม
"ฝ่ายอุปกรณ์อย่าลืมไปช่วยกันที่โรงยิมนะ"
หัวหน้าห้องเอ่ยเตือนทุกคนอีกครั้งก่อนที่เพื่อนจะออกจากห้องไปหมด ซึ่งผมเองก็ได้ยินเต็มสองรูหู แต่ในเมื่อผมไม่ว่าง เพราะงั้นผมเองคงไม่ได้ไปช่วยเพื่อน
ผมรู้ว่ามันอาจดูเหมือนผมหาข้ออ้างที่จะไม่ไปช่วยงานส่วนรวม แต่ผมเป็นพวกที่ไม่ชอบทำกิจกรรม(เรียนก็ไม่ชอบเหมือนกัน) แล้วการฝึกของผมเองก็สำคัญ การแข่งก็ใกล้เข้ามาทุกที
เพราะฉะนั้นรอบนี้ผมก็ขอโดดงานไปก่อนแล้วกัน
ผมอยู่ซ้อมจนดึก เวลาตอนนี้ประมาณหนึ่งทุ่ม คนในชมรมทยอยกันกลับไปหมดแล้ว ผมเองก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน
ผมเปลี่ยนชุดกลับมาใส่ชุดวอร์มของโรงเรียนเหมือนเดิม ก่อนจะล็อคห้องชมรมให้เรียบร้อยตามที่หัวหน้าชมรมสั่ง
ผมเดินไปตามโถงทางเดินของตึกรียนที่ตอนนี้มีไฟเปิดเพียงไม่กี่ดวง แสงไฟจากด้านนอกก็เริ่มไม่มี เพราะมันค่ำมากแล้ว นักเรียนส่วนมากก็กลับบ้านไปจนหมด
บรรยากาศนี่ ... เหมือนฉากในหนังสยองขวัญไม่มีผิด แต่ผมชินซะแล้ว ผมกลับเวลานี้แทบจะทุกวัน
ผมเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินผ่านประตูของโรงยิมบาสเก็ตบอล ตอนแรกผมก็ว่าจะแค่เดินผ่านไป
แต่ผมก็ต้องเดินถอยหลังกลับมาอีกทีเมื่อเห็นประตูโรงยิมยังเปิดอยู่
นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาเท่าแผ่นหลังของใครคนหนึ่งที่ยืนจ้องแผ่นไม้กระดานผืนใหญ่อยู่คนเดียว
ค่ำขนาดนี้แล้วใครยังมายืนอยู่คนเดียวอีก ?
สายตาของผมเพ่งไปที่คนคนนั้น จะว่าคุ้นมันก็คุ้น ผมคิดว่าหมอนี่ต้องเป็นเพื่อนร่วมห้องของผมแน่ เพราะแผ่นไม้ที่อยู่ตรงนั้น มันคือไม้ที่จะเอามาทำฉากละครของห้องผมเองนั่นแหละ
ในระหว่างที่ผมกำลังคิดว่ากำลังจะเดินเข้าไป หรือจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินกลับบ้าน
คนคนนั้นก็หันหลังกลับมา สายตาของเราจึงสบกันเข้าพอดี ....
---------------------------------------------------
มาอัพแล้วนะครับ หลังจากหายไปนาน
ต้องขอโทษด้วยนะครับ ; - ;
ไม่รู้ว่าสนุกรึเปล่า เนื้อเรื่องอาจจะยังไม่ค่อยมีอะไร 555555555555
ติชมได้นะครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ 😊
ฝากติดตามด้วยคร้าบบบ ~