... Again ... [Jingyu X Weizh...

By ryudragon137

3.7K 48 21

อยากจะรู้เธอเป็นอย่างไร ตั้งแต่วันนั้นที่เลิกกันไป โลกใบเก่าๆ ...ที่ฉันยังอยู่และวนอยู่ที่เดิม เธอเป็นอย่างไร... More

Chapter 1
Chapter 2
Chapter 4
Chapter 5
Chapter 6

Chapter 3

486 5 2
By ryudragon137










ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างเราหลังจากที่ผมเรียกชื่อเขาออกไปทำให้บรรยากาศดูอึดอัด เราต่างจ้องหน้ากันอย่างอึ้งๆ

ไม่มีใครเป็นฝ่ายพูดอะไรออกมาก่อน เราได้แต่ยืนจ้องตากันเงียบๆ

การเผชิญหน้ากันในที่ที่มีแต่เราเพียงลำพัง ไม่ได้อยู่ในหัวของผมมาก่อน และผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น

ผมเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ทำไมเวลาแบบนี้ถึงไม่มีใครสักคนเดินผ่านมาเลยนะ

ผมเลื่อนสายตาลงมองบุหรี่ที่เพิ่งถูกจุดในมือของเขา

"อย่าสูบเยอะนักละ"

ผมพูดแค่นั้นแล้วตั้งใจจะเดินผ่านเขาเพื่อกลับเข้าไปในร้าน

แต่ยังไม่ทันที่มือของผมจะได้ผลักประตูกระจกเข้าไป เสียงจากด้านหลังก็ตรึงขาผมไว้กับที่ ..

"เอ่อ .. นาย ...สบายดีนะ?"

ตัวผมรู้สึกชาวาบ ตรงข้ามกับหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ผมค่อยๆหันหน้าไปหาเขา

"ก็สบายดี"

ผมหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง

"แล้วนายล่ะ?"

ผมยิงคำถามเดียวกันกลับไป ผมไม่มั่นใจว่าที่เขาเรียกผมไว้ เพราะอยากจะคุยต่อรึเปล่า แต่ในเมื่อเขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะหลีกเลี่ยงอะไรผม ผมก็จะขอคิดเข้าข้างตัวเองว่าอย่างงั้นก็แล้วกัน

"ก็โอเค .. "

เขาตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก ยิ่งเมื่อผมยืนจ้องหน้าเขาอยู่แบบนี้ ดวงตากลมโตก็เลี่ยงที่จะมองมาที่ผมตรงๆ

"เอ้อ! นายยังเล่นยิวยิตสูอยู่นี่ งั้นฉัน .."

"ไม่เป็นไรหรอก แค่นิดหน่อย ฉันสบายมาก"

ผมรีบเอ่ยห้ามเขาไว้ก่อนที่เขาจะดับบุหรี่ที่เพิ่งจุดในมือทิ้ง แต่นอกเหนือจากความตกใจแล้ว เสี้ยววินาทีผมรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองจะพองโตขึ้นมา

เขายังจำรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับตัวผมได้ ...

"นายยังจำได้อยู่เหรอ?"

ผมเผลอยกยิ้มขึ้นมุมปาก รู้สึกดีใจจนแทบซ่อนอาการไว้ไม่มิด ลืมเรื่องที่เราเพิกเฉยต่อกันภายในร้านจนหมดสิ้น

โจวโจวพยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อ

"ฉันเกือบเลิกมันได้เพราะนาย .. ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ"

คำพูดของเขาทำให้ผมนึกไปถึงวันที่ผมตัดสินใจบอกเขาออกไปตรงๆ ว่าผมขอให้เขาไม่สูบบุหรี่ แค่เฉพาะเวลาที่เราอยู่ด้วยกันก็ได้

ผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร ความจริงแล้วช่วงขึ้นม.ปลายแรกๆผมเองก็สูบบ้างเป็นครั้งคราว

แต่เมื่อรุ่นพี่ที่ชมรมบอกว่า ถ้าอยากจะไปไกลทางด้านยิวยิตสู ผมต้องหยุดเพราะมันส่งผลต่อปอดของผม มันจะทำให้ความจุของลมในปอดของผมลดลงแล้วจะเล่นกีฬานี้ลำบาก ผมก็เลยหยุดสูบในทันที

แต่ถ้าคนใกล้ตัวผมกลับมาสูบซะเอง มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นโจวโจวสูบบุหรี่ต่อหน้าผมอีกเลย

เพิ่งมาเห็นล่าสุดก็ตอนนี้ล่ะ ผมไม่ได้ถามว่าเขากลับมาสูบเพราะอะไร แต่อยู่ๆเจ้าตัวก็พูดออกมาเอง

"ตอนแรกฉันคิดว่าตัวเองคงเลิกได้แล้ว แต่เอาจริงๆพอไปอยู่มหาลัย เพื่อนในกลุ่มสูบกันจัดมาก นานวันไปฉันเลยทนไม่ไหว แล้วก็เป็นแบบนี้แหละ"

เขายิ้มแหยๆพร้อมไหวไหล่เหมือนจะสื่อออกมาว่า 'มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ'

ผมรู้สึกว่าบรรยากาศความอึดอัดของเราเริ่มเบาบางลง น่าแปลกที่จู่ๆเราก็มายืนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันสองคนที่หน้าห้องน้ำ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราแทบไม่ได้มองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ

ถ้าให้ผมเดา... อาจจะเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่กล้าที่จะเข้าหากันมากกว่า

เราคุยกันไปเรื่อยๆ ราวกับเหมือนเป็นแค่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ไม่มีใครพูดถึงประเด็นอ่อนไหวเพราะคงไม่อยากให้บรรยากาศที่เริ่มดีต้องกร่อย

ซึ่งผมก็โอเคที่มันจะเป็นแบบนี้ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมได้มีโอกาสคุยกับเขาบ้าง

จนกระทั่งบุหรี่ของเขาหมดลง โจวโจวทิ้งก้นบุหรี่ที่ไฟหมอดแล้วลงสู่ถังขยะข้างตัว

ผมเองก็เตรียมจะหันหลังกลับเข้าไปในร้านหลังจากออกมานาน

"จิ่งอวี๋..."

ภาพเหตุการณ์เดิมเมื่อหลายนาทีก่อนกลับมาอีกครั้ง โจวโจวเรียกผมไว้ก่อนที่ตัวผมจะได้เปิดประตูเข้าไปอีกแล้ว

ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม นั่นทำให้เขาเม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆคลายออก

"ฉัน .. ไม่รู้ว่าฉันจะขอมากไปรึเปล่า แต่อย่างน้อย ... ฉันขอให้เราเป็นเพื่อนกันได้มั้ย ?"

ผมนิ่งเงียบเมื่อได้ฟังเขาพูดจนจบ

ไม่รู้ว่าควรตอบเขาไปยังไงดี

คำว่า'เพื่อน'ของเรามันจบลงไปตั้งแต่ที่ผมรู้ตัวว่าผมรักเขาแล้ว ผมไม่เคยมองเขาว่าเป็นเพื่อนได้อีกเลย

แต่ครั้นผมจะไม่ตอบ ดวงตากลมโตที่มองมาอย่างคาดหวังก็บีบคั้นผมซะเหลือเกิน

ผมเลยหาคำพูดกึ่งยอมรับกึ่งเลี่ยงตอบไปดีกว่า

"มีอะไรให้ช่วยก็ติดต่อฉันมาแล้วกัน"

ผมพูดแค่นั้นแล้วจึงเดินจากมา แต่หางตาผมแอบเหลือบไปเห็นตอนที่รอยยิ้มบางๆปรากฎบนหน้าของเขาตอนที่ผมหมุนตัวเดินกลับเข้าร้านพอดี

ผมไม่อยากยอมรับเลยว่า ... เขายิ้มแบบนั้นมันน่ารักชะมัด

แล้วอย่างนี้จะให้ผมเป็นเพื่อนเขาได้ยังไง ?


ผมกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม เสี่ยวมู่รีบถามผมขึ้นมาทันที

"หายไปไหนโคตรนานเลยวะ ฉันคิดว่านายตกส้วมตายไปแล้ว"

"ตายแล้วฉันจะยังมานั่งอยู่ตรงนี้ได้รึไง"

"ไม่ต้องมาเฉไฉ นายไปทำอะไรมาใช่มั้ย ? มีเรื่องดีๆอะไรก็บอกกันมั่งสิวะ"

"เรื่องดีๆ ? ก็ไม่มีอะไรนี่"

"ไม่มีแล้วหวงจิ่งอวี๋ที่นั่งหน้าเป็นตูดตั้งแต่ต้นงาน ไหงตอนนี้ถึงเดินอมยิ้มมาล่ะ ห้ะ?"

เสี่ยวมู่หรี่ตาลงอย่างต้องการจะจับผิด แต่ผมก็อาศัยความมึน ทำหน้าตีเนียนไป สายตาของผมหยุดอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง มองคนต้นเหตุที่ทำให้ผมกลับมายิ้มได้ ผมยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยตอบ...



"ไม่มีอะไรหรอก"














เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเทอมที่สองของม.ปลายปีสุดท้าย...

พวกผมที่เพิ่งผ่านวันหยุดพักผ่อนหลังจากสอบปลายภาคเทอมแรกไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีงานนิทรรศการประจำปีของโรงเรียนที่จะได้ทำเป็นครั้งสุดท้ายเข้ามาทันที

งานนี้เป็นงานที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว ในวันงานโรงเรียนจะเปิดให้คนภายนอกสามารถเข้ามาชมนิทรรศการในโรงเรียนในช่วงกลางวัน โดยมีเด็กๆในโรงเรียนเป็นคนเปิดซุ้มต่างๆมากมายทั้งมีให้เล่นเกม ขายของและซุ้มของกิน

ส่วนงานในช่วงกลางคืนจะเป็นงานปิด ให้นักเรียนในโรงเรียนได้ฉลองผ่อนคลายกันหลังจากทำงานมาทั้งวัน โดยจะมีเวทีคอนเสิร์ตให้นักเรียนที่รักในเสียงดนตรีได้มีโอกาสแสดงฝีมือกันเต็มที่

เพื่อนคนอื่นต่างดูตื่นเต้นที่จะได้ทำงานนี้ส่งท้ายชีวิตมัธยม ต่างจากผมที่ไม่ยักกะรู้สึกอยากจะทำอะไร

อย่างเช่นตอนนี้ ผมก็ได้แต่นั่งตาปรือ อ้าปากหาวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งฟังหัวหน้าห้องกำลังแจกแจงงานที่ทุกคนต้องทำ

ผมได้แต่ขอให้หัวหน้าพูดจบเร็วๆ เผื่อว่าผมจะได้มีเวลานอนสักงีบก่อนที่อาจารย์คาบต่อไปจะเข้ามา

"ตอนนี้ฝ่ายอาหาร ทีมพนักงานเสิร์ฟและรับแขก กับทีมนักแสดงครบแล้ว มีใครที่ยังไม่มีหน้าที่อีกมั้ย ?"

หัวหน้าห้องหน้าติ๋มเอ่ยถาม นั่นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์และยกมือขึ้น โดยไม่ลืมที่จะสะกิดเรียกเสี่ยวมู่ที่นั่งหลับอยู่ข้างๆให้ตื่นมายกมือด้วย

"ส่วนมากเหลือแต่ผู้ชายนะ งั้นฉันขอให้คนที่เหลือเป็นคนจัดการเรื่องฉากแล้วก็พวกอุปกรณ์แล้วกันนะ ตกลงตามนี้
งานนี้งานสุดท้ายแล้วเพื่อนๆ ฉันอยากให้ทุกคนตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุดนะ ฉันเองก็จะตั้งใจ ยังไงก็ฝากทุกคนด้วย วันนี้เลิกประชุมแค่นี้
อ้อ! ฝ่ายอุปกรณ์เริ่มทำวันนี้ได้เลยนะ ฉันซื้อแผ่นไม้ที่จะทำฉากมาแล้ว อยู่ที่โรงยิม เลิกเรียนแล้วค่อยไปก็ได้"

จื่อเยี่ยนพูดเสร็จแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเอง นั่นเป็นสัญญาณให้ผมนอนได้

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เสี่ยวมู่ก็ตบไหล่ผมสองป้าบพร้อมเอ่ยถาม

"เฮ้ยๆ นายจะไปทำฉากตอนเย็นมั้ยวะ ?"

"เย็นนี้เหรอ ? ฉันไม่ว่างว่ะ มีซ้อม"

"ฉันแม่งโคตรขี้เกียจไปทำเลย หนีไปซ้อมกับนายดีมั้ยเนี่ย"

"ถ้าคิดว่าจะผ่านด่านหัวหน้าชมรมเข้าไปได้ก็เอาเลย"

 
"วันนี้หมอนั่นอยู่เรอะ เหอะ! ชมรมนายนี่เรื่องมากชะมัด"

เสี่ยวมู่บ่นพร้อมกับยีหัวตัวเองอย่างเซ็งๆ เพราะตราบใดที่หัวหน้าชมรมยิวยิตสูอยู่ คนนอกจะสามารถเข้าไปในยิมได้ยากมาก

ความจริงก็ไม่ได้ถึงกับห้ามคนนอกชมรมเข้าหรอก เข้าไปน่ะเข้าได้

แต่ทุกคนที่เข้าไปต้องเข้าไปฝึกเท่านั้น ถ้าใครจะเข้าไปแค่นั่งเล่นๆฆ่าเวลานั้นคิดผิดแล้ว อาจจะโดนจับทุ่มแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้

ที่ต้องมีกฎแบบนี้ออกมา เพราะหัวหน้าชมรมคนปัจจุบันค่อนข้างเข้มงวด ชอบความเป็นระเบียบ และอีกอย่างหนึ่งมันก็เป็นการรักษาความเป็นส่วนตัวของชมรม ไม่ให้มีคนนอกมาเพ่นพ่านมากเกินไป

ก่อนหน้านี้ที่ชมรมยังปล่อยให้คนนอกเข้าได้ตามปกติ ก็มีพวกชอบเล่นพิเรนท์เข้ามาเล่นจนทำให้อุปกรณ์ฝึกซ้อมพังไปหลายชิ้น

ไหนจะเบาะรองที่ถูกกรีดจนขาด ลำบากให้หัวหน้าชมรมคนก่อนแบกหน้าไปของบซื้ออุปกรณ์ใหม่จากอาจารย์อีก

เพราะฉะนั้นวิธีออกกฎนี้จึงดีสุดแล้ว คนธรรมดาที่ไหนจะอยากเดินเข้ามาโดนฟัดจนเกือบตายกันล่ะครับ ใครๆก็รู้ว่าการฝึกยิวยิตสูมันโหดขนาดไหน จริงมั้ยครับ ?




ผมนั่งเรียนด้วยสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นไปตลอดทั้งวัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของผมอยู่แล้ว

จนกระทั่งเสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น ผมจึงรีบเก็บของเตรียมไปห้องชมรม

"ฝ่ายอุปกรณ์อย่าลืมไปช่วยกันที่โรงยิมนะ"

หัวหน้าห้องเอ่ยเตือนทุกคนอีกครั้งก่อนที่เพื่อนจะออกจากห้องไปหมด ซึ่งผมเองก็ได้ยินเต็มสองรูหู แต่ในเมื่อผมไม่ว่าง เพราะงั้นผมเองคงไม่ได้ไปช่วยเพื่อน

ผมรู้ว่ามันอาจดูเหมือนผมหาข้ออ้างที่จะไม่ไปช่วยงานส่วนรวม แต่ผมเป็นพวกที่ไม่ชอบทำกิจกรรม(เรียนก็ไม่ชอบเหมือนกัน) แล้วการฝึกของผมเองก็สำคัญ การแข่งก็ใกล้เข้ามาทุกที

เพราะฉะนั้นรอบนี้ผมก็ขอโดดงานไปก่อนแล้วกัน

ผมอยู่ซ้อมจนดึก เวลาตอนนี้ประมาณหนึ่งทุ่ม คนในชมรมทยอยกันกลับไปหมดแล้ว ผมเองก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน

ผมเปลี่ยนชุดกลับมาใส่ชุดวอร์มของโรงเรียนเหมือนเดิม ก่อนจะล็อคห้องชมรมให้เรียบร้อยตามที่หัวหน้าชมรมสั่ง

ผมเดินไปตามโถงทางเดินของตึกรียนที่ตอนนี้มีไฟเปิดเพียงไม่กี่ดวง แสงไฟจากด้านนอกก็เริ่มไม่มี เพราะมันค่ำมากแล้ว นักเรียนส่วนมากก็กลับบ้านไปจนหมด

บรรยากาศนี่ ... เหมือนฉากในหนังสยองขวัญไม่มีผิด แต่ผมชินซะแล้ว ผมกลับเวลานี้แทบจะทุกวัน

ผมเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินผ่านประตูของโรงยิมบาสเก็ตบอล ตอนแรกผมก็ว่าจะแค่เดินผ่านไป

แต่ผมก็ต้องเดินถอยหลังกลับมาอีกทีเมื่อเห็นประตูโรงยิมยังเปิดอยู่

นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาเท่าแผ่นหลังของใครคนหนึ่งที่ยืนจ้องแผ่นไม้กระดานผืนใหญ่อยู่คนเดียว

ค่ำขนาดนี้แล้วใครยังมายืนอยู่คนเดียวอีก ?

สายตาของผมเพ่งไปที่คนคนนั้น จะว่าคุ้นมันก็คุ้น ผมคิดว่าหมอนี่ต้องเป็นเพื่อนร่วมห้องของผมแน่ เพราะแผ่นไม้ที่อยู่ตรงนั้น มันคือไม้ที่จะเอามาทำฉากละครของห้องผมเองนั่นแหละ

ในระหว่างที่ผมกำลังคิดว่ากำลังจะเดินเข้าไป หรือจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินกลับบ้าน


คนคนนั้นก็หันหลังกลับมา สายตาของเราจึงสบกันเข้าพอดี ....











---------------------------------------------------
มาอัพแล้วนะครับ หลังจากหายไปนาน
ต้องขอโทษด้วยนะครับ ; - ;

ไม่รู้ว่าสนุกรึเปล่า เนื้อเรื่องอาจจะยังไม่ค่อยมีอะไร 555555555555
ติชมได้นะครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ 😊
ฝากติดตามด้วยคร้าบบบ ~

Continue Reading

You'll Also Like

41.3K 418 17
"เอากันแล้วไม่ให้เรียกว่าเมียจะให้เรียกว่าอะไรหล่ะ? หืมม" JK
229K 14.9K 56
"មនុស្សស្អីចរឹករញ៉ែរញ៉ែនិយាយច្រើនឥតបានការពិតជាគួរអោយស្អប់ពិតមែន"ជុងហ្គុក "បងស្អប់ខ្ញុំអោយច្រើនៗទៅតិចថ្ងៃណាមួយស្អប់ៗជំពប់លើខ្ញុំអីខ្ញុំនិងប្ដឹងបងយកមកធ...
182K 13.1K 56
អាថ៍កំបាំងនិងរឿងរ៉ាវជាច្រើននៃភូមិគ្រិះត្រកូលគីមធ្វើអោយបុរសម៉ាហ្វៀមានអំណាចវ័យ38ឆ្នាំ ម្នាក់សម្រេចចិត្តឈានជើងចូលទៅក្នុងភូមិគ្រិះមួយនោះដោយការរៀបការជាមួយ...
43.9K 229 32
แต่งฟิคตามใจตัวเองค่ะ อาจจะมีการยำทุกอย่างเข้าด้วยกัน คาแรกเตอร์อาจจะไม่ตรง แต่นั่นเพื่อสนองความต้องการตัวเองค่ะ ส่วนใหญ่ เป็น Main Snape ค่ะ