.
.
.
.
.
เสียงฝีเท้าเหยียบลงบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบใกล้เข้ามา อากาศรอบตัวนิ่งสนิทราวกับที่นี่ไม่ใช่สถานที่โล่งแจ้ง ความมืดมิดปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณเห็นเพียงแค่หมอกสีขาวลอยละล่องอยู่เรียบพื้น และเมื่อเสียงฝีเท้านั้นหยุดลงจันทราที่ซ่อนตัวอยู่หลังเมฆดำก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา แสงจันทร์สาดส่องลงบนแท่นศิลาที่อยู่เบื้องหน้า ใต้ผ้าคลุมสีดำมีสายตาที่จ้องมองศิลาแผ่นนั้นอย่างไม่ไหวติง
"มาแล้วหรือ"
คนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วเอ่ยถามขึ้นแต่คนที่มาใหม่ไม่ตอบเพียงแค่ยืนนิ่งเงียบมองที่แท่นศิลาแผ่นนั้นนิ่งอยู่นาน
"ศิลาบนหลุมฝังศพมีรอยแตกร้าว" ประโยคแรกที่พูดคือสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า แผ่นศิลาขนาดใหญ่มีลวดลายอักขระเรียงร้อยกันเป็นวงกลมมีรอยแตกเป็นทางยาวพาดผ่านกลางแผ่น
"นับตั้งแต่ครั้งที่สายฟ้าฟาดก็ 17 ปีได้ ศิลาค่อยๆ ปริแตกไปเรื่อยๆ จนวันนี้เป็นทางยาว ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?"
"..." ความเงียบไม่ใช่คำตอบ เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ ความคิดเขามีน้ำหนักไม่มากพอที่จะพูดออกไป
"คำทำนายกล่าวไว้ว่าเมื่อครบกำหนดทายาทแห่งอีสเซียร่าจะปรากฏผ่านมาเกือบร้อยปีแล้วยังตามหาทายาทที่ว่าไม่พบ ท่านคิดว่านี้จะเป็นสัญญาณอะไรหรือไม่"
สิ้นประโยคลมที่เคยสงบนิ่งกลับก่อตัวเป็นพายุหอบพัดฝุ่นผงให้ตลบอบอวล ใบไม้ปลิวว่อนตามแรงลม
"...ถ้าสามสิ่งปรากฏให้เห็นแน่ชัดเมื่อไหร่เมื่อนั้นข้าถึงจะเชื่อ"
"..."
"แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง... ทายาทที่ปรากฏจะต้องสาบสูญเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของมัน"
.
.
.
"เจมินเจ้าเสร็จยัง"
"เสร็จแล้วๆ"
เมื่อเมอร์ซี่เข้ามาเร่งผู้เป็นเจ้าของห้องจึงรีบกวาดของทุกอย่างลงกระเป๋าโดยไม่สนว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง เหตุเพราะเขานอนดึกเลยตื่นสายเวลาที่จะเตรียมตัวจึงถูกตัดทอนให้สั้นที่สุด
"ข้าตื่นเต้นจังเราจะได้ออกไปข้างนอกแล้ว" เมอร์ซี่ท่าทางตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ เจมินก็ไม่ต่างกันกระเป๋าใบขนาดย่อมถูกสะพายไว้บนไหล่ก่อนจะพากันออกจากห้องไป
"เร็วเข้าๆ"
วิ่งแข่งกันลงไปข้างล่าง เพราะจวนเจียนใกล้จะเวลาแล้ว
"ประตูโรงเรียนจะปิดในอีก 15 นาทีถ้าใครไม่ออกก็ไม่ต้องออก!" เสียงหัวหน้าหออย่างเบย์ม่อนเร่งเร้าชาวราชาหมาป่าที่ชอบทำตัวเชื่องช้าอืดอาดให้รีบเร่งออกจากหอโดยไว ดูผิวเผินชาวราชาหมาป่าเหมือนจะเป็นพวกว่องไวใช้กำลังแต่อันที่จริงพวกเขาเป็นหมาป่าที่ชอบนอนกระดิกหางอยู่ที่บ้านเสียมากกว่า และนั้นจึงเป็นเหตุให้หัวหน้าหออย่างเบย์ม่อนต้องมากระตุ้นต่อมกระตือรือร้นไม่เช่นนั้นจะมาลำบากเขาภายหลัง
"ไม่ไปไม่ได้เหรอ"
"ไม่ได้!"
เสียงเด็กนักเรียนปีสองเอ่ยถามรุ่นพี่อย่างเบย์ม่อนดูจากท่าทางที่เอาคางเกยกับโต๊ะเหมือนแล้วเขาอยากจะนอนเสียมากกว่า
"อยากนอนก็ไปเปิดห้องนอนที่โรงเตี้ยมโน่น จะนอนทั้งวันเลยก็ได้แต่อย่าให้เห็นว่าแค่พ้นเขตโรงเรียนแล้วพวกเจ้ากระดี๊กระด๊ากระดิกหางหาเรื่องนะไม่งั้นเจอดีแน่" ทำท่าว่าไม่อยากออกแต่พอออกไปแล้วไม่อยากกลับต้องตามตัวทุกที นิสัยนี้มันเป็นกันทั้งหอหรือไงนะ
ในขณะที่หัวหน้าหอกำลังไล่ต้อนคนอื่นๆ อยู่นั้นเจมิน ลูซที่วิ่งมาถึงชั้นสองก็เกือบจะชนเข้ากับไอริส เจมินชะงักเท้าได้ทันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นและเป็นรีน่าเข้ามาขว้างไว้อีกเช่นเคย นางกำลังจะเอ่ยปากต่อว่าแต่ใครจะอยู่ฟังเล่า เจมินรีบหมุนตัววิ่งลงข้างล่างอย่างเร่งด่วน เขาจะไม่มัวมาเถียงกับอีกฝ่ายเขาไม่อยากติดอยู่ที่โรงเรียนทั้งวันหรอกนะ
ในทุกวันหยุดนักเรียนแห่งโรงเรียนอนาสตาเสียจะได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกพวกเขาสามารถเที่ยวเล่นในเมืองอนาสตาเซียได้ตลอดทั้งวัน นั่นเป็นความคิดที่สุดยอดมากสำหรับเจมิน
ถึงหน้าประตูโรงเรียนเด็กนักเรียนของอนาสตาเซียต่างทยอยกันออก ดูจากสีหน้าทุกคนก็รู้ว่าดีใจแค่ไหนที่ได้ไปข้างนอกโดยเฉพาะเด็กปีหนึ่งอย่างพวกเขาที่จะได้ไปเที่ยวในเมืองหลวงของอนาสตาเซียเป็นครั้งแรก
"ลงชื่อด้วยนักเรียน" ถูกเรียกจากคนเฝ้าประตู เจมินเกือบลืมไปเพราะมัวแต่คิดเพลินตัวเขาที่เดินเลยผ่านจึงรีบวกกลับมาลงชื่อออกต่อจากเมอร์ซี่ที่ต่อแถวรออยู่แล้ว
"ไปกัน"
เดินเข้ามาถึงเขตเมืองผู้คนเดินพลุกพล่านทั้งชาวเมืองอนาสตาเซียเอง พ่อค้าจากต่างเมืองทั้งพวกเด็กนักเรียนเดินสวนกันไปมา ของที่ขายตามข้างทางละลานตาไปหมด เจมินมองของพวกนั้นด้วยสายตามันวาวตามประสาคนที่ชอบเที่ยวเล่นและซื้อของเป็นงานอดิเรกอย่างเขา ได้ยินเสียงพูดว่า 'ช่วยซื้อฉันหน่อยๆ' ดังออกมาจากของชิ้นนั้นๆ เจมินอดใจไม่ไหวซื้อของติดไม้ติดมือมาสองสามชิ้น
ร้านอาหารตรงหน้าคือที่ที่เจมินกับเมอร์ซี่เลือกไว้ก่อนมา ได้ยินมาจากรุ่นพี่ว่าร้านนี้อร่อยและได้รับความนิยมในเหล่านักเรียนของอนาสตาเซียแต่ไม่คิดว่าความนิยมจะมีมากล้นขนาดที่ต้องต่อแถวยาวไปจนสุดทางเดินขนาดนั้น
"โหดูแถวนั่นสิ" เมอร์ซี่ว่า ทั้งชะเง้อคอมองหางแถวที่ไม่รู้ไปสุดที่ใด
"มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ"
"อร่อยไม่อร่อยก็ดูจากความยาวของแถวสิ ข้าว่าอย่างน้อยคงอีกสักสองชั่วโมงกว่าถึงจะได้กิน"
และคุณหนูเล็กแห่งเอเลนนอร์ไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น "เราไปร้านอื่นกันดีกว่า"
"ร้านไหน"
"ร้านนั่นไง" เจมินเห็นใครบางคนหายเข้าไปในร้านฝั่งตรงข้ามจึงไม่รีรอรีบคว้าแขนเมอร์ซี่ให้เดินตามไปด้วย ร้านน้ำชาใหญ่โตโอ่อ่าแต่บรรยากาศช่างแสนเงียบสงบต่างกับร้านฝั่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ข้างในนี้มีคนต้อนรับอยู่หนึ่งคน
"ไม่ทราบว่ามากี่ท่านขอรับ"
"สอง" บอกกับพนักงานร้านก่อนจะหันไปยักคิ้วให้อีกคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว วินเซนต์หันมามองด้วยความประหลาดใจไม่คาดคิดว่าจะเจอเจมินในสถานที่แห่งนี้ หันซ้ายไปมองคนที่เดินเข้าไปก่อนแล้วลุคกำลังเดินไปที่โต๊ะซึ่งมีเจ้าหญิงไอริสนั่งอยู่ก่อนแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในเวลานี้ วินเซนต์รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของเขากับเจมินดีเรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นบ่อยเขาเป็นห่วงความรู้สึกของเจมิน
"เจมินเจ้ามาทำอะไรที่นี่"
"มากินข้าวไง"
"ทำไมต้องร้านนี้"
"ก็ข้าเห็นท่านเดินมา และคิดว่าคงมากับ..." ชะเง้อคอมองก็เห็นคนที่คิดไว้ วินเซนต์กลัวว่าเจมินจะเกิดความรู้สึกไม่ดีแต่ก็เป็นเพียงความคิดของเขา คนตรงหน้าตอบกลับมาอย่างร่าเริง
"ข้ารู้ ข้าแค่อยากมากินข้าวเขาว่ากันว่าร้านฝั่งตรงข้ามอร่อยมากแต่ข้าคงทนหิวไม่ไหวหรอก"
"แต่เจ้าไม่..."
"ไม่หรอก"
"เชิญทางนี้ขอรับ" เจมินโบกมือบอกปัดวินเซนต์ก่อนจะเดินตามพนักงานในร้านเข้าไปข้างใน ร้านน้ำชามีขนาดใหญ่แต่มีจำนวนไม่กี่โต๊ะ อาหารที่เสิร์ฟก็ล้วนแล้วแต่พิถีพิถันและตกแต่งอย่างสวยงาม เมอร์ซี่มองจานอาหารตรงหน้าอย่างทึ่งๆ ต่างจากเจมินที่เอาแต่หันมองโต๊ะข้างๆ เมื่อมองตามสายจึงเห็นว่ามองใครอยู่
"เจ้าว่าบรรยากาศมันดูแปลกๆ ไหม"
"ยังไง"
"ในนี่มีทั้งรัชทายาทพร้อมทั้งเพื่อนพ้อง นั่นก็เจ้าหญิงไอริสกับพวกของนาง ทั้งหมดเนี่ยมีแต่..."
"แล้วไงที่นี่ใช้เงินแลกอาหาร เงินข้าก็มีได้จากไอ้คนที่นั่งอยู่มุมนั้นน่ะ" หันมองตามก็เห็นคิล มิลเลอร์นั่งอยู่ก่อนแล้ว เมอร์ซี่ไม่ได้สังเกตเลยทั้งที่อีกคนนั่งหลบมุมซะขนาดนั้นแต่เจมินสังเกตเห็นได้อย่างไร
ออกจากร้านน้ำชาก็เดินเที่ยวเล่นในเมืองอนาสตาเซียต่อ ที่นี่เจริญทั้งยังมีหลายสิ่งแปลกตา พวกเขาเข้าร้านนั้นออกร้านนี้กันอย่างสนุกสนาน ตะวันคล้ายต่ำใกล้จะพลบค่ำจวนเจียนจะได้เวลากลับแต่ก็ยังเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงเสียงหนึ่งมาจากข้างหลัง
"เจ้าจะเดินตามสองคนนั้นไปถึงไหน" เจมินรีบหันไปมองเป็นคิลที่ยืนอยู่ สองมือของเขาขัดหลังเอียงคอมองเจมินสลับกับลุคที่เดินคู่ไปกับไอริส
"และที่ว่าเจ้าชอบเจ้าหญิงไอริสก็เป็นเรื่องจริงสินะ"
เจมินจิปากอย่างนึกไม่ชอบใจ "แล้วเจ้าล่ะจะเดินตามข้าไปถึงไหน" ถามกลับไปเพราะรู้ว่าคิลเดินตามมาเช่นกัน ไม่ได้ตามเขาแน่แต่ไม่รู้เหตุผลว่าคนผู้นี้ตามสองคนนั้นไปทำไม
"ข้าไม่ได้เดินตามเจ้า"
"งั้นก็เดินตามสองคนนั้น"
"..."
"ไม่ปฏิเสธแสดงว่าใช่ บอกเหตุผลมาว่าทำไมถึงตามสองคนนั้น" สายตาจ้องลึกไปที่คนตรงหน้า เหตุใดคนเย่อหยิ่งอย่าคิล มิลเลอร์ถึงได้ตามไม่ห่าง เมอร์ซี่ที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาเขาเห็นสองคนยืนประจันหน้ากันอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ที่รู้จากครั้งก่อนๆ เจมินกับคิลไม่ค่อยจะถูกชะตากัน และภาวนาว่าคงจะไม่มีเรื่องกันที่นี่นะ
"ไม่ได้ตาม ข้าแค่เดินเล่นและนี่ก็ทางกลับโรงเรียน หรือจะให้ข้าอ้อมไปใช้เส้นทางอื่น ที่นี่อนาสตาเซียไม่ใช่กรินเดลวัลด์หรืออีสเซียร่าข้าว่าข้าน่าจะเดินทางนี้ได้นะ" ทำท่ายียวนกวนประสาทอย่างไม่ปิดบัง เขาว่าชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีวันถูกชะตากันอย่างแน่นอน
"ไม่ตามก็ไม่ตาม" เจมินพยักหน้าเข้าใจ "ไปกันเถอะเมอร์ซี่ใกล้เวลากลับแล้ว" ประโยคหลังบอกกับเมอร์ซี่ก่อนจะดึงแขนไปอีกทาง พอหันหลังกลับก็ไม่เห็นลุคกับไอริสแล้ว เจมินถอดใจเลิกตามก่อนจะเลี้ยวเข้าตรอกข้างหน้าเขามีสิ่งที่ต้องทำก่อนกลับเข้าโรงเรียน
"ไปไหนเจมิน"
"ข้ามีของที่ต้องเอาก่อนกลับ" ว่าแล้วก็หยิบจดหมายที่ซ่อนไว้ในเสื้อออกมา จดหมายนี้เป็นเดม่อนที่ส่งมาพร้อมกับแผนที่บอกทางไปยังร้านขายสมุนไพรแห่งหนึ่ง มองดูแล้วซับซ้อนกว่าที่คิด เจมินหมุนดูแผนที่อยู่หลายรอบโชคดีที่เมอร์ซี่ช่วยดูไม่เช่นนั้นเขาคงหาร้านนั้นไม่เจอ
เข้าตรอกนี้ออกตรอกนั้นอยู่หลายรอบกว่าจะเจอร้านขายยาที่ว่า
"ร้านขายยาและสมุนไพรฟาริมาโก้" ป้ายเก่าๆ เขียนชื่อบอกไว้เหนือประตูทางเข้า "ชื่อประหลาดดี" เมอร์ซี่ว่า
"นั่นสิ" ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปกระดิ่งที่แขวนไว้ก็ดังขึ้น ภายในร้านเงียบไร้ผู้คน กลิ่นสมุนไพรลอยตลบอบอวลไปหมดทั้งกลิ่นหอมกลิ่นเหม็นรวมกันเป็นกลิ่นประหลาด เจมินและเมอร์ซี่สูดดมกลิ่นนั้นจนเริ่มรู้สึกถึงอาการวิงเวียน ถ้าขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังได้ตัดจมูกทิ้งแน่นี้มันร้านขายยาหรือร้านขายเครื่องเหม็นเครื่องหอมกันแน่น่ะ
"สวัสดีเด็กๆ พวกเจ้าต้องการอะไร" ชายวัยกลางคนโผล่ขึ้นมาจากหลังเคาน์เตอร์เจมินและเมอร์ซี่สะดุ้งตกใจเผลออุทานคำหยาบออกไปจนต้องรีบยกมือปิดปาก
"ชิท!"
"ทำไมโผล่ขึ้นมาแบบนั้นล่ะครับตกใจหมด"
"ออเหรอโทษทีข้ากำลังเก็บของ ว่าแต่พวกเจ้าต้องการอะไร ยาสมุนไพรมีมากมายหลายอย่าง วิงเวียนศีรษะปวดหัวตัวร้อนไม่สบายโดนพิษสัตว์ร้ายหรือช่วยเพิ่มสมรรถภาพก็มีนะปึ๋งปั๋งดึ๋งดั๋ง เจ้าอยากได้แบบไหนแบบด่วนทันใจแต่ว่าใช้ไม่ได้นานหรือแบบช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปแต่เห็นผลถาวรใช้การได้ถึงเจ็ดสิบแปดสิบหรือจนใกล้จะลงโล่งก็ยังใช้การได้อยู่" เจมินกับเมอร์ซี่ฟังสรรพคุณที่กล่าวมาถึงกับขมวดคิ้ว มีด้วยหรือยาชนิดนี้โอ้อวดเกินจริงไปหรือเปล่า
"แน่ะ! ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ข้าปรุงมันขึ้นมาเองเลยนะ เชื่อมือข้าสิใครๆ ก็รู้จักฟาริมาโก้หมอยาวิเศษไม่มียาตัวไหนที่ใช้ไม่ได้ผล"
"ผลเสียกับผลร้ายน่ะหรือครับ"
"ใช่... เฮ้ย! จะบ้าเหรอ ผลดีสิ ดีมากด้วย พวกเจ้านี่จริงๆ เลยข้าเกือบหลงกล ว่าแต่มาร้านข้าต้องการอะไร อย่าบอกนะว่ามาเอายาเสริมกำลังชาย ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลยหมดกำลังแล้วหรือพ่อ"
"ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ไม่ใช่ มาซื้อยาทั่วๆ ไปนี่แหละ นี่ครับ" เจมินถึงกับต้องรีบยื่นจดหมายส่งให้หมอยาฟาริมาโก้
เขารับมันมา "ออ... จากเดม่อน" หมอยาฟาริมาโก้อ่านจดหมายนั้นสักพักหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเจมิน เขาเพ่งมองซ้ายทีขวาทีจดๆ จ้องๆ อย่างพินิจพิจารณาจนคนถูกมองเริ่มใจไม่ดี
"เอ่อ... ท่านหมอยา"
"วางใจเถอะ ข้าแค่ตรวจดูให้แน่ใจว่าอาการเจ้าเป็นอย่างไร ร้ายแรงขนาดไหน"
"แค่ดูด้วยตาเปล่าก็รู้แล้วรึ!?" เมอร์ซี่ถามอย่างทึ่งๆ
"ก็ไม่หรอก ถ้าได้ตรวจวัดชีพจรด้วยก็จะละเอียดกว่านี้แต่ไม่ต้องหรอกข้าว่าข้ารู้แล้ว รอสักครู่" เดินหายเข้าไปหลังร้านก่อนจะกลับมาพร้อมกับห่อผ้าที่มัดไว้อย่างแน่นหนา "นี่ยาแก้ปวดศีรษะ วิงเวียน มีแก้ไข้ด้วยเผื่อเจ้าต้องการ ส่วนยานี้...พอใช้ได้สักสามครั้ง" ประโยคหลังพูดเบาเหมือนกระซิบก่อนจะยื่นยาห่อนั้นให้กับเจมิน
"เท่าไหร่ครับ"
"ไม่ต้องเดม่อนจัดการให้หมดแล้ว"
"เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน"
"อืม เชิญ" หมอยาฟาริมาโก้ผายมือไปทางประตูเป็นการส่งลูกค้า แต่ก่อนที่เจมินจะออกจากร้านเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า "ใช้ให้ระวังด้วยล่ะ"
"ใช้ให้ระวัง!? แค่ยาแก้ปวดหัวต้องให้ระวังด้วยรึ?" เมอร์ซี่ถามขึ้นหลังจากพ้นประตูมาแล้ว เขารู้สึกแปลกใจในคำพูดของหมอยา "ตกลงเจ้าเป็นอะไร"
"เปล่าข้าแค่ปวดหัว เจ้าก็รู้การบ้านพวกนั้นทำข้าแทบบ้า"
"จริงอย่างเจ้าว่าบางครั้งข้าก็จี๊ดขึ้นสมอง" เมอร์ซี่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจมินพูด "เช่นนั้นเรากลับกันดีกว่าก่อนจะค่ำเสียก่อน"
เดินออกจากร้านมุ่งหน้าตรงไปยังเส้นทางที่จะกลับโรงเรียน บรรยากาศรอบตัวเริ่มเงียบลง ผู้คนที่เคยพลุกพล่านกลับเหลือให้เห็นเพียงไม่กี่คนต่างจากเมื่อเช้าอย่างลิบลับ เจมินกับเมอร์ซี่มองสิ่งรอบตัวด้วยความประหลาดใจ จากที่เห็นห้าคน สี่คน สามคนและตอนนี้เหลือพวกเขาเพียงสองคน
"ข้าว่ามันแปลกๆ"
"ใช่ข้าก็คิดอย่างนั้น หรือว่าเราจะกลับผิดทาง"
ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจวิ่งให้เร็วที่สุด แต่เพียงแค่ขาก้าวเสียงกรีดร้องผู้หญิงก็ดังขึ้น ดังมาจากที่ใดสักที่ไม่ไกลนัก เจมินมองหน้าเมอร์ซี่อีกครั้งก่อนจะตัดสินใจวกกลับเขามั่นใจว่าเสียงต้องดังมาจากข้างหลังอย่างแน่นอน
วิ่งตามหาที่มาของเสียง จนมาถึงตรอกเล็กๆ ข้างหน้า เพียงแค่เลี้ยวเข้าไปสิ่งที่เห็นทำพวกเขาแทบช็อก ร่างกายเหมือนถูกแช่แข็งไว้กับที่
ร่างคนทั้งร่างตกลงมากระแทกพื้นต่อหน้า...